Sam Atlman คือ CEO และผู้ก่อตั้ง Y combinator ศูนย์บ่มเพาะและลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพในช่วงตั้งไข่ และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท OpenAI ที่ได้ออกผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง chatGPT ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำ ที่เปรียบเสมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวราวกับเป็น J.A.R.V.I.S. ในหนัง Iron Man ในเวอร์ชั่นตัวหนังสือยังไงยังงั้น
ซึ่งเจ้า chatGPT กลายเป็นสตาร์ทอัพที่มีผู้เข้าใช้งานแอปแตะ 100 ล้านราย เร็วที่สุดในโลกไปเรียบร้อยแล้ว โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น
โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์บนช่อง Youtube ของ Connie Loizos ผู้ก่อตั้ง StrictlyVC เมื่อเดือนมกราคม ปี 2023 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับสถานการ์ณในปัจจุบันของ Sam
โดยพิธีกรได้เริ่มต้นถาม Sam เกี่ยวกับข่าวที่ดังไปทั่ว Twitter เกี่ยวกับเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ที่เขาได้สร้างขึ้นอย่าง chatGPT ที่อยู่ภายใต้บริษัท OpenAI บ้างหรือไม่?
โดย Sam ก็ตอบทันควันว่า ส่วนตัวของเขานั้น ไม่เสพย์ข่าวเลยแม้แต่น้อย เพราะวัน ๆ เขาก็ใช้เวลาอยู่กับการทำงานอย่างหนักเป็นเวลาต่อเนื่องหลายปี แต่มันก็คุ้มค่าสำหรับผลลัพธ์ที่ออกมา
โดย Sam เขาแนะนำว่า อย่าไปเสียเวลากับการเสพย์สื่อโซเชียลมีเดีย อย่ามัวเอาเวลาอันมีค่าไปเกรียนบน Twitter ปิดมันแล้วไปทำงานซะ
แต่ตัวของเขาเองก็ยังเคารพในการตัดสินใจของ Elon Musk ที่เข้ามาซื้อ Twitter และเขาก็คงไม่คิดที่จะกล้าเดิมพันตรงข้ามกับ Elon Musk หรอก ว่าเขาน่าจะรัน Twitter ต่อได้
โดยทาง OpenAI ตอนนี้ จะมีผลิตภัณฑ์ที่ออกมาให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าใช้งานได้แล้วอยู่สองตัวก็คือ ตัวแรก chatGPT และตัวที่สอง DALL·E
ซึ่งเจ้า DALL·E นี้ ก็จะคล้าย ๆ กับ midjourney AI ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถสร้างภาพศิลปะออกมาได้ เพียงแค่มนุษย์เราทำการป้อนประโยคตัวหนังสือลงไป
โดย Sam บอกว่า ถ้าหากเราพูดถึง AI เมื่อสัก 5 ปี ที่แล้ว ที่เริ่มต้นมาจากแนวคิดที่จะนำ AI มาใช้แทนแรงงาน อย่างใช้ในการขับรถบรรทุกส่งของแบบอัตโนมัติ หรือใช้ AI เป็นแรงงานในโรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ โดยที่คนส่วนใหญ่ ณ ตอนนั้น ต่างก็คิดว่า AI ไม่น่าจะทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ได้เหนือกว่ามนุษย์ได้เลย
ในขณะที่ตัดภาพมายังปัจจุบัน AI มันก็เริ่มพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันไกลจากคำสบประมาทนั้นไปมากเลยทีเดียว
ซึ่งถ้าหากเราดูผลงานที่ปัญญาประดิษฐ์วาดภาพขึ้นมานั้น คนส่วนใหญ่เริ่มยอมรับแล้วว่า มันวาดภาพได้สวยมาก ๆ แถมยังวาดเสร็จภายในไม่กี่วินาที ด้วยต้นทุนที่ต่ำเอามาก ๆ อีกด้วย
ส่วนด้าน chatGPT นั้น ทาง Sam บอกว่า ความตั้งใจแรกสุดก็คือ เขาพยายามปล่อยมันออกมา เพื่อให้ผู้คนพยายามทำความคุ้นเคยทีละเล็กทีละน้อยว่า เจ้า AI ตัวนี้ มันสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง และตั้งใจปล่อยในเวอร์ชั่นที่กำลังเรียนรู้และยังมีข้อจำกัดอีกหลายข้อ
เพราะถ้าหากปล่อยตัวเทพ ตั้งแต่แรกตูมเดียวเลยนั้น เขาเกรงว่า แทนที่ผู้คนจะเข้ามาใช้งานอย่างเป็นมิตรและเรียนรู้ไปพลาง ๆ มันอาจจะกลายเป็นความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกับในโลกภาพยนตร์ที่เคยได้สื่อออกมา
ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วเจ้า chatGPT เวอร์ชั่น 3 นั้น ได้ถูกปล่อยออกมาตั้งแต่เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว แต่อาจจะเป็นคนในวงแคบ ๆ แต่หลังจากที่ปล่อยให้บุคคลทั่วไปใช้งานได้นั้น เขาก็ค่อนข้างตกใจอยู่พอสมควรที่มันเติบโตเร็วมากขนาดนี้
ซึ่งในความคิดของเขาคิดว่า การค่อย ๆ เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อรอให้ระบบต่าง ๆ พร้อมมากกว่านี้น่าจะดีกว่า
ซึ่งส่วนตัวเขามองว่าเจ้า chatGPT เวอร์ชั่น 4 นั้น เขาจะปล่อยมันออกมาก็ต่อเมื่อเขามั่นใจมากกว่านี้ว่ามันจะต้องปลอดภัย และจะต้องมีส่วนร่วมในการมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เพราะอย่าลืมว่า หากไม่มีการทำเรื่องดังกล่าวได้ดีพอ แต่ดันปล่อยเทคโนโลยีที่ล้ำ ๆ ออกมานั้น อย่าลืมว่า มันสามารถใช้ได้ทั้งในทางที่ดีและในทางที่ไม่ดีได้
และ Sam เขาก็เคยพูดกับนักลงทุนเอาไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาสร้างเจ้า chatGPT ถึงจุด ๆ หนึ่งที่มันดีมากพอ เขาจะพยายามหาวิธีสร้างรายได้ให้กับมัน ซึ่งนั่นมันเป็นวิถีของสตาร์ทอัพที่จะต้องพยายามเอาใจนักลงทุนอยู่บ้าง
ซึ่งเราก็จะสังเกตเห็นได้จากการที่ chatGPT เริ่มมีโมเดลเก็บเงินจากผู้ใช้งาน แต่ทาง Sam ก็บอกว่า มันก็เป็นรายได้ไม่มากสักเท่าไหร่นัก
โดยความตั้งใจจริงในอุดมคติของ Sam นั้น เขาบอกว่า อยากให้เครื่องมือ AI นั้น ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยที่ไม่มีใครมีอำนาจตกอยู่ที่คนใดคนหนึ่งมากจนเกินไป
ซึ่งส่วนตัวของเขานั้นเชื่อว่า การมีการแข่งขันทางธุรกิจนั้น จะช่วยให้คู่แข่งแต่ละราย ต้องแข่งขันกันในด้านราคาที่ต่ำลง ซึ่งนั่นเป็นผลดีกับผู้ใช้งาน
แต่ทางพิธีกรก็ถามกลับว่า นั่นก็หมายถึง รายได้ของบริษัทจะลดลงด้วยน่ะสิ ในมุมมองของบริษัท ของนักลงทุน คงจะไม่แฮปปี้สักเท่าไหร่นัก
แต่ Sam ก็ตอบกลับมาทันควันว่า ผมว่าบริษัทเรายังโอเคแหละ ไม่เป็นไรหรอก
ซึ่ง Sam เขาเชื่อว่า ผู้ใช้งาน AI บน chatGPT นั้น จะมีความหลากหลาย มีความเป็นปัจเจกบุคคลเป็นอย่างมาก ซึ่งแม้ว่าในตอนนี้มันอาจจะยังตอบสนองได้ไม่ดีมากนัก แต่มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ซึ่งเวลาที่คุณป้อนข้อมูลหรือคำสั่งอะไรลงไปสัก 2-3 หน้ากระดาษ และเมื่อ AI ประมวลผลแล้ว มันก็จะพยายามให้ในสิ่งที่คุณต้องการ ที่เปรียบเสมือนเป็น AI ส่วนตัวของคุณโดยเฉพาะ
และอย่างที่รู้กันว่าทาง OpenAI นั้น เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ที่ล่าสุดได้นำเทคโนโลยีของ chatGPT ไปใช้ร่วมกับ Search Engine อย่าง Bing ที่เป็นคู่แข่งกับ Google ที่ทำให้เกิดอาการร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาได้เลย
ส่วนเรื่องของการทำรายได้นั้น Sam เขาก็บอกว่า เขาให้ความสำคัญกับเรื่องของการเน้นสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีมากกว่า ส่วนรายได้นั้นเป็นเรื่องรอง
และถ้าถามว่าการมาของ chatGPT นั้น ส่งผลกระทบอย่างไรบ้างกับวงการการศึกษา ซึ่งหลายคนก็หวาดกลัวกับความรอบรู้ของ AI ที่มีผลกระทบต่อสถาบันการศึกษา
โดย Sam บอกว่า การมาของเทคโนโลยีนั้น เขาอยากให้มองว่าให้เราพยายามปรับตัวกับการมาของสิ่งเหล่านั้น เฉกเช่นเดียวกับการมาของเครื่องคิดเลข ที่ในยุคนั้นมันเป็นอะไรที่ amazing เอามาก ๆ สำหรับวงการคณิตศาสตร์ ซึ่งเราก็จะเห็นได้ว่า การมาของเครื่องคิดเลขมันได้มีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงวงการการศึกษาด้านคณิตศาสตร์มากแค่ไหน
เพียงแต่ว่า การมาของ chatGPT มันเป็นเสมือนยาแรงกว่าการมาของเครื่องคิดเลข แต่คุณประโยชน์ที่จะได้รับนั้น มันก็มากกว่าด้วยเช่นกัน
ซึ่งก็เคยมีข่าวอยู่บ้างว่า มีนักเรียน นักศึกษาหลายคน ที่ใช้ chatGPT ช่วยในการทำการบ้านที่คุณครูให้มาได้ด้วย
แต่ก็มีคุณครูอีกหลายท่านที่บอกว่าเจ้า chatGPT นั้นเปรียบเสมือนเป็นติวเตอร์ส่วนตัวชั้นดีของนักเรียน นักศึกษาเลย
ซึ่งส่วนตัวของ Sam นั้น เขาก็ใช้ chatGPT ในการช่วยการเรียนรู้ในเรื่องใหม่ ๆ ทักษะใหม่ ๆ แทนที่จะนั่งอ่านจากตำราเรียน
ซึ่งนั่นคือวิถีที่โลกจะดำเนินไป คือการปรับตัวให้เข้ากับการมาของเทคโนโลยี ซึ่งมันจะเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ไปตลอดกาลโดยไม่หวนกลับคืนมา
ส่วนสถาบันการศึกษาก็อาจจะต้องปรับตัวโดยการตั้งกฎเกณฑ์และกรอบการนำเทคโนโลยีอย่าง chatGPT เข้ามาใช้งานภายในแต่ละโรงเรียน แต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งแน่นอนว่า มันก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ Sam เขาอยากให้เรามองไปข้างหน้าแล้วหาแต่ข้อดีของมันมากกว่า
ซึ่งส่วนตัวของ Sam นั้น เขามักจะใช้ chatGPT ในการสรุปข้อมูลยาว ๆ เพื่อย่นระยะเวลาในการทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับเนื้อหาดังกล่าว ว่าต้องการจะสื่ออะไร หรืออะไรคือประเด็นสำคัญของข้อความหรือข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งมันช่วยให้เขาประหยัดเวลาได้เป็นอย่างมาก
ซึ่ง Sam เขาแนะนำว่า ทักษะที่สำคัญมากในอนาคตก็คือ ทักษะในการปรับตัว มีความยืดหยุ่น ชอบเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ และ AI ก็จะเข้ามาช่วยให้เรียนรู้ในเร็วยิ่งขึ้น และช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์ของเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมันสามารถช่วยเปลี่ยนความคิดของคุณให้กลายเป็นรูปภาพ วีดีโอ งานศิลปะ ตามจินตนาการของคุณ
ซึ่งถ้าหากเราย้อนกลับไปดูในช่วงก่อนที่เราจะมี Google เพื่อค้นหาข้อมูลต่าง ๆ นั้น เราก็จะต้องจดจำข้อมูลต่าง ๆ ที่เราได้รับรู้มาจากแหล่งอื่น ๆ ซึ่งเราให้ความสำคัญกับการจดจำมาก ๆ ในตอนนั้น แต่พอมี Google การจดจำ จำแม่น ก็มีความจำเป็นลดลง เพราะอยากได้ข้อมูลอะไรก็พิมพ์ในช่องค้นหาบน Google เอา
ส่วนใครที่บอกว่าการมาของ chatGPT จะทำให้ Google นั้นล่มสลายนั้น ส่วนตัวของ Sam เขามองว่า การมาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการทำลายบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งตัวของเขาก็เชื่อว่าที่ Google มีคนที่ฉลาดและเก่ง ๆ อย่างมากมาย
ซึ่งการเรียนรู้ก็จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เพราะในยุคนี้คือยุคที่เราสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วกว่าแต่ก่อนมากจากการมาของ AI
ส่วนถ้าถามว่า ในอนาคตผู้คนจะทำงานในออฟฟิศหรือจากที่บ้านมากกว่ากัน?
ซึ่งทาง Sam ก็ตอบว่า มันก็แล้วแต่คน อย่างตัวของเขาเองก็ผสมผสานกันอย่างละครึ่ง ๆ ก็คือ เขาจะเข้าออฟฟิศ 2-3 วันต่อสัปดาห์ และทำงานจากที่บ้าน 1-2 วันต่อสัปดาห์ แต่เขาเชื่อว่าในช่วงทศวรรษนี้ บริษัทส่วนใหญ่ก็ยังคงเน้นการทำงานแบบเจอหน้ากันอยู่
ซึ่ง Sam บอกว่า ในยุคนี้คือยุคที่เริ่มต้นทำธุรกิจสตาร์ทอัพได้ง่ายที่สุดแล้ว เพราะตอนนี้เกิดฟองสบู่ในส่วนของ capital หรือเงินทุน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มันมีเงินอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด และคนที่มีเงินก็กำลังมองหาการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ
แต่เรื่องที่ยากจริง ๆ จะเป็นเรื่องของการจ้างงาน การหาคนมาทำงานที่บริษัท และยุคนี้การแข่งขันจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งทันทีที่คุณเริ่มเปลี่ยนไอเดียเป็นบริษัท ก็จะมีคู่แข่งนับพันผุดขึ้นมาในแทบจะทันที
ส่วนถ้าถามว่า ความสามารถสูงสุดของ AI และเทคโนโลยีในอนาคตที่เขามองเห็นก็คือ มันจะพาให้มนุษย์โลกนั้น ขึ้นไปสู่ห้วงอวกาศ กระจายเผ่าพันธุ์ไปยังดวงดาวต่าง ๆ กลายเป็นสปีชี่ย์ที่อยู่ในหลากหลายดวงดาวได้
นอกจากนั้นเขายังได้ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี อย่างเช่น
- Stripe ที่เป็นสตาร์ทอัพด้านการชำระเงินออนไลน์ ที่มีผู้ใช้งานกว่า 120 ประเทศทั่วโลก
- Helion เป็นสตาร์ทอัพด้านพลังงาน fusion ที่มุ่งเน้นที่พลังงานสะอาดและลดต้นทุนในอุตสาหกรรมพลังงาน
- Hermeus ที่มุ่งเน้นการเดินทางด้วยความเร็วระดับ supersonic ซึ่งเขาเชื่อว่า ถ้าหากโลกของเรา สามารถเดินทางรอบโลกได้เร็วยิ่งขึ้น ก็จะทำให้การติดต่อค้าขาย ดียิ่งขึ้น เศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้น
และนอกจากนั้น เขาก็เชื่อว่า ภายในอีก 5-7 ปีข้างหน้า โลกของเราจะมีการพัฒนาด้าน bio tech ที่เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวมากขึ้นเป็นอย่างมาก
Resources
- https://youtu.be/57OU18cogJI
- https://www.cnbc.com/2021/11/05/sam-altman-puts-375-million-into-fusion-start-up-helion-energy.html
- https://www.goodwinlaw.com/en/news-and-events/news/2022/03/03_14-hermeus-raises-$100-million
- https://techcrunch.com/2021/10/21/sam-altmans-worldcoin-wants-to-scan-every-humans-eyeball-and-give-them-crypto-in-exchange/