Site icon Blue O'Clock

ประวัติ Satoshi Nakamoto ผู้ให้กำเนิด Bitcoin

Satoshi Nakamoto - Bitcoin

Satoshi Nakamoto (ซาโตชิ นากาโมโตะ) นามแฝงของผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการสร้าง Bitcoin สกุลเงินดิจิตอลที่อาจหาญมาเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของโลกใบนี้

ย้อนกลับไปในช่วงปี 2008 เป็นช่วงที่เกิดวิกฤตซับไพรส์ หรือชื่อที่เราคุ้นหูกันอย่างวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่เกิดจากสถาบันการเงินชื่อดังอย่าง Lehman Brothers (เลห์มัน บราเธอร์ส) เกิดการฉ้อฉล มักง่ายโดยการปล่อยให้บุคคลทั่วไปกู้ยืมเพื่อเช่าซื้อบ้านได้อย่างง่ายดาย ปล่อยกู้แม้กระทั่งกับคนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีปัญญาผ่อนและใช้หนี้คืน โดยสินเชื่อที่ว่านี้ก็คือ “Subprime Mortgages” หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “สินเชื่อที่ปล่อยให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ”

และก็เป็นดังชื่อ พอคนไม่มีเงินมาใช้หนี้เยอะขึ้น ธนาคารก็ต้องยึดบ้าน ทำให้คนกู้ก็ขาดทุน ธนาคารก็ขาดทุน จนทำให้ระบบการเงินล้มละลาย ล้มต่อเนื่องเป็นโดมิโน จนรัฐบาลของสหรัฐฯ ต้องพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อโอบอุ้มกลุ่มคนบางกลุ่มเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจล้มพังพินาศไปซะก่อน

เพราะนับตั้งแต่ปี 1971 ที่ประธาธิบดี Richard Nixon ประกาศออกมาว่า เงินดอลล่าร์นั้นไม่ต้องขึ้นอยู่กับทองคำสำรองของประเทศอีกต่อไป ขอให้ “เชื่อใจเรา” ซึ่งการประกาศในครั้งนั้นส่งผลให้ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถพิมพ์แบงค์ดอลล่าร์ออกมาเท่าไหร่ก็ได้ตามต้องการ และอะไรก็ตามที่มันมีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ มันก็มักจะทำให้คุณค่าของสิ่งนั้น ๆ ลดลงไปตามกลไกของเศรษฐศาสตร์ แต่คนที่ซวยกลับเป็นประชาชนคนธรรมดาตาดำ ๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากทำได้แค่เพียงไหลไปตามกระแสน้ำของรัฐบาล จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่นายแบงค์ของธนาคารเพียงคนเดียว ก็สามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มจมได้

และดูเหมือนว่า ก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งที่เกิดความไม่โอเคกับการไว้วางใจให้ธนาคารหรือรัฐบาลในการดูแลเงินของประชาชนอีกต่อไป ซึ่งหลังจากที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์ไปเพียงไม่กี่วัน โดยในวันที่ 18 สิงหาคม ปี 2008 ก็ได้มีการก่อตั้งเว็บไซต์ที่ชื่อ Bitcoin.org และต่อมาในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2008 เดียวกันนี้นี่เอง ก็มีผู้ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ได้เผยแพร่เอกสาร White paper ออกสู่สาธารณะชนเป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อเอกสารว่า Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System เป็นการประกาศเปิดใช้งานระบบเงินดิจิตอลนามว่า Bitcoin ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับที่ระบบการเงินแบบเก่ากำลังจะล่มสลาย ราวกับว่า พวกเขาเฝ้ารอโอกาสประจวบเหมาะที่จะส่งสัญญาณว่า ระบบการเงินแบบเดิม ๆ ไม่สามารถเชื่อใจและไว้วางใจได้อีกต่อไป

โดยสิ่งที่ทำให้ Bitcoin แตกต่างจากระบบการเงินเดิม ๆ ที่ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจของตัวกลางอย่างธนาคาร ที่ใช้บุคคลมาดำเนินการ เปลี่ยนเป็น ไม่ต้องเชื่อใจใครเลยสักคน แต่ให้เชื่อในหลักของคณิตศาสตร์ ที่สมการถูกคำนวณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากสมการ 1+1 ยังเท่ากับ 2 อยู่ ก็ให้ยึดตามนั้น

และนอกจากนั้น ทุกครั้งที่เกิดการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางอีกต่อไป เพราะข้อมูลทุกอย่างจะถูกเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาบนเทคโนโลยี Blockchain แบบ Decentralization หรือระบบกระจายอำนาจแบบไม่มีศูนย์กลาง ที่ออนไลน์ทั่วโลก ลบไม่ได้ ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ (หรือมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ยากมาก ๆ) ซึ่งนั่นมันทำให้ไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้ แม้กระทั่งรัฐบาล (ยกเว้นรัฐบาลจะออกกฎหมายมาแบนมัน) และนั่นมันทำให้ Bitcoin มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเงินของประชาชนอย่างแท้จริง

โดยธุรกรรมแรกของโลกที่ใช้ Bitcoin ในฐานะเงินดิจิตอลก็เกิดขึ้นระหว่าง Satoshi Nakamoto กับ Hal Finney ที่เป็นนักพัฒนาและผู้สนับสนุน Bitcoin ในยุคแรกสุด โดย ณ ขณะนั้นมีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของ Bitcoin มีมูลค่าเท่ากับ 8/100 cent หรือแปลงตัวเลขง่าย ๆ ว่า เงิน 1 ดอลล่าร์ สามารถแลก Bitcoin ได้ถึง 1,309 BTC เลยทีเดียว (แหม่…รู้งี้)

และนี่คือการเปิดศักราชในโลกยุคใหม่ โลกของการเงินดิจิตอล ที่จะทำให้ระบบการเงินนับร้อยปีนั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

คำถามต่อมาก็คือ แล้วเจ้า Bitcoin นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? คำตอบสั้น ๆ ก็อาจจะตอบได้ว่า มันคือระบบเงินดิจิตอลที่เกิดบนเทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain

และคำถามต่อมาก็คงจะเป็น แล้วไอ้เทคโนโลยี Blockchain นี่มันคืออะไรกันล่ะ?

ถ้าเอาแบบง่าย ๆ เห็นภาพได้ชัด ๆ ให้เราลองเปรียบเทียบในยุคอินเตอร์เน็ต ที่ก่อนที่โลกของเราจะมีอินเตอร์เน็ตใช้ คนธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไปก็คงไม่มีใครคิดได้หรอกว่า จะมีเว็บไซต์เกิดขึ้น จะมีโซเชียลมีเดียเกิดขึ้น ผู้คนจะสามารถติดต่อสื่อสาร โทรหากันได้แบบเกือบฟรี(จริง ๆ ก็เสียค่าอินเตอร์เน็ตเล็กน้อยจนอาจเรียกได้ว่าโทรฟรีก็ย่อมได้)

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า มีมหาเศรษฐียุคอินเตอร์เน็ตที่เติบโตพรวดพราดอย่างรวดเร็วเกิดขึ้นมากมายในยุคอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น Google ที่ก่อตั้งโดย Larry Page กับ Sergey Brin, Facebook ที่ก่อตั้งโดย Mark Zuckerberg ซึ่งมหาเศรษฐีเหล่านี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากในโลกของเราไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ (ซึ่งถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้าอินเตอร์เน็ตก็ต้องบอกว่า มันก็มีเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังของมันอีกทีหนึ่ง นั่นก็คือ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) ที่เป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องที่หากไม่มีมันก็ไม่มีอินเตอร์เน็ตเช่นกัน)

เช่นเดียวกันกับ Bitcoin มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มี Blockchain นั่นเท่ากับว่า เทคโนโลยี Blockhain ก็เปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลัง ที่ทำให้เกิดระบบเงินดิจิตอลขึ้นมาได้ หรืออาจจะเรียกง่าย ๆ ว่า มันเป็นยุคของอินเตอร์เน็ต 2.0 ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอีกขั้น

เพราะในยุคของอินเตอร์เน็ตยุคแรกนั้น แม้ว่ามันจะส่งผลให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย โดยเฉพาะในวงการการสื่อสาร ที่แต่เดิม คนที่มีกระบอกเสียงที่สามารถส่งข้อความหรือประกาศต่าง ๆ สู่คนกลุ่มใหญ่ได้นั้น เห็นจะมีแต่ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ที่ส่วนใหญ่คนที่ทำได้ ก็จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอีกทีหนึ่ง และคนที่มีกำลังทรัพย์สูงเท่านั้น ที่จะสามารถเป็นเจ้าของสื่อนั้น ๆ ได้

แต่พอยุคของอินเตอร์เน็ตเข้ามา มันก็ทำให้ใครก็ตามที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ก็สามารถเป็นเจ้าของสื่อได้ในแทบจะทันที ในราคาที่เกือบฟรี ทำให้เกิดการ Disruption ของวงการสื่อแบบเดิม ๆ ที่จำเป็นต้องปิดกิจการ ล้มหายตายจากอย่างมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

และเช่นเดียวกัน เมื่อคอนเซ็ปต์ของ Bitcoin มันคือเงินดิจิตอลแบบ Decentralization หรือระบบกระจายอำนาจแบบไม่มีศูนย์กลาง ทำให้ตัวกลางทางการเงินในยุคเก่ากำลังจะหมดความสำคัญลงไป เพราะตัวกลางทางการเงินยุคเก่า เปรียบเสมือนคอขวดทางการเงิน เพราะนอกจากจะเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงโดยไม่จำเป็นกับผู้ใช้งานแล้ว ยังใช้เวลาในการดำเนินการที่เนิ่นนานโดยไม่จำเป็นอีกด้วย และพอการทำธุรกรรมทางการเงินไม่จำเป็นต้องพึ่งตัวกลางอีกต่อไป นั่นมันก็ทำให้ค่าธรรมเนียมนั้นถูกลง และใช้เวลาเพียงน้อยนิดในการดำเนินการ

และหลังจากที่เปิดตัว Bitcoin ไม่กี่ปี Satoshi Nakamoto ก็ได้หายตัวไป และไม่มีใครพบเห็นหรือรู้ว่าเขาเป็นใครอีกเลย แม้ว่าจะมีคนแอบอ้างเป็นพัก ๆ ว่าตัวของพวกเขานั้นคือ Satoshi Nakamoto

และว่ากันว่า จำนวน Bitcoin ที่มีอยู่ในมือของ Satoshi Nakamoto นั้น มีจำนวนกว่า 1 ล้านเหรียญ BTC นั่นเท่ากับว่า หากเขายังคงถือ Bitcoin จำนวนนี้เอาไว้อยู่ เขาจะมีทรัพย์สินที่มีมูลค่ากว่า 60,000 ล้านดอลล่าร์ หรือราว ๆ 1.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของอเมริกา คนส่วนใหญ่นึกถึง Coinbase

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources

Exit mobile version