หากคุณสามารถเลือกได้เพียงคำเดียว จากคำถามที่ว่า “เพราะอะไรทำไมคนคนหนึ่งถึงได้กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน พันล้านขึ้นมาได้?”
ดวงดี, เวลาเหมาะเหม็ง, ทัศนคติ, ความคิด, ผลิตภัณฑ์, คุณภาพ หรือว่าทีมงาน?
ก่อนที่เราจะไปฟังเฉลยพร้อม ๆ กัน ก่อนอื่นอยากให้ทุก ๆ คนลองคิดตามกันก่อนว่า สมมติว่าในวันนี้คุณได้รับเงินฟรี ๆ เข้ากระเป๋าของคุณ เป็นจำนวน 86,400 บาท แล้วปรากฏว่า มีคนขโมยเงินคุณไปเป็นจำนวน 10 บาท ซึ่งทำให้เงินคุณเหลือเพียง 86,390 บาท คุณคิดว่าสิ่งที่คุณจะทำ ณ ขณะนั้น ถ้าให้เลือกระหว่าง การตามล่าคน ๆ นั้นอย่างสุดกำลังจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน กับอีกทางเลือกหนึ่งคือ ช่างมันเงินแค่ 10 บาท ถือซะว่าทำบุญทำทานไปก็แล้วกัน เพราะชีวิตเราก็ต้องเดินต่อไป ตั้งใจทำมาหากินกันต่อดีกว่า คุณจะเลือกข้อไหนกันดีครับ?
แน่นอนว่า เงินนอกจากจะได้มาฟรีแล้ว แถมยังสูญเสียเงินไปแค่ 10 บาท คนส่วนก็มักจะเลือกเส้นทางที่สองซึ่งเป็นเส้นทางที่สบายกว่าอยู่แล้ว จะเสียเวลาทั้งวันทั้งคืนเพื่อเงิน 10 บาทกันไปให้เหนื่อยเมื่อยก้นกันทำไม
งั้นทีนี้ ลองมาดูตัวอย่างอีกสักตัวอย่างนึง สมมติว่าในแต่ละวัน คุณได้เงินจากธนาคารแห่งหนึ่งเข้าบัญชีเป็นจำนวน 86,400 บาท ซึ่งจะมีให้คุณใช้แบบนี้ในทุก ๆ วันไปตลอดทั้งชีวิต แต่มีข้อแม้อย่างเดียวก็คือ หากในแต่ละวัน คุณไม่ได้นำเงินก้อนนี้ไปลงทุนหรือทำอะไรใด ๆ เลย ในแต่ละวันเงินจำนวนก้อนนี้จะกลายเป็น “ศูนย์” ทันที คำถามต่อมาก็คือ ถ้าคุณรู้แบบนี้ คุณจะยอมเสียแม้แต่บาทเดียวหรือไม่ หรือคุณจะทำทุกอย่างเพื่อใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มา
จะเห็นได้ว่า พอเป็นเหตุการณ์นี้ คำตอบกลับตารปัตรกับเหตุการณ์แรกโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุการณ์ที่สอง ถ้าคุณไม่รีบใช้เงิน มันก็เหมือนกับทิ้งเงินในแต่ละวันไปโดยเปล่าประโยชน์
ซึ่งธนาคารที่ว่านั้น ได้จ่ายให้คุณมาตั้งแต่คุณถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้วก็คือ “ธนาคารเวลา” นั่นเอง เพราะในแต่ละวัน คุณจะได้รับ เวลาเป็นจำนวน 86,400 วินาที
และแล้วก็มาถึงคำเฉลยกันสักกะทีว่าไอ้เจ้า 1 คำที่จะทำให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน พันล้านขึ้นมาได้นั้น นั่นก็คือ การใช้เวลาที่มีอยู่ของคุณในแต่ละวันที่มีจำนวน 86,400 วินาที ไปกับคำว่า “Leverage”
โดยเจ้า Leverage นี้หมายถึง พลังทวี หากคุณยังนึกภาพไม่ออก ให้ลองนึกถึงเวลาที่คุณจะเคลื่อนย้ายของหนัก ๆ สักชิ้น ด้วยมือสองข้างของคุณ มันอาจจะหนักจนแทบยกไม่ไหว หรือถ้ายกไหว ก็น่าจะปวดหลังเอาการ แต่หากคุณหาชะแลงมางัดของชิ้นนั้นโดยใช้แรงจากสองมือของเราเหมือนเดิม แต่คุณจะพบว่า มันสามารถช่วยให้เราเคลื่อนย้ายของหนัก ๆ ชิ้นนั้น ได้ง่ายขึ้นและใช้แรงน้อยลง
ฉะนั้น ความหมายของคำว่า Leverage ก็คือ “การทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยใช้การออกแรงน้อยที่สุด” โดยการใช้พลัง Leverage นั้น มีด้วยกันหลายรูปแบบหลายวิธี ตัวอย่างเช่น
วิธีที่ 1 – Money Leverage
ตัวอย่างการใช้พลังทวีของเงินที่เราคุ้นเคยกันก็คือ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วยเงินของธนาคาร ซึ่งปกติแล้ว หากเราต้องการที่จะซื้ออสังหาฯ สักชิ้นหนึ่ง เราคงไม่ได้กำเงินเป็นล้าน ๆ เพื่อซื้อด้วยเงินสด (ซึ่งบางคนที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินสดก็ยังใช้พลังทวีจากเงินธนาคารอยู่ดี) แต่สิ่งที่เราทำก็คือ การใช้เงินดาวน์ของเราประมาณ 10%-30% แล้วที่เหลือ ก็ยื่นขอกู้แบงค์ ซึ่งอาจจะได้เครดิตราว ๆ 70%-90% หรือดีกว่านั้น อาจได้ถึง 100%-120% ด้วยซ้ำไป ซึ่งเท่ากับว่า การที่เราจะครอบครองกรรมสิทธิ์ในอสังหาฯ นั้น ๆ เราไม่จำเป็นที่จะต้องรอเก็บเงินให้ถึงล้าน ก็สามารถครอบครองได้เช่นกัน
วิธีที่ 2 – Marketing Leverage
ในปัจจุบันการทำการตลาดออนไลน์นั้น สามารถเข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมาก ในเวลาอันรวดเร็วและต้นทุนก็ไม่ได้สูงมากเท่ากับการตลาดแบบออฟไลน์เดิม ๆ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเรียนรู้ที่จะใช้โฆษณาออนไลน์อย่าง Google Adwords หรือไม่ก็ Facebook Ads คุณจะพบว่า เครื่องมือเหล่านี้ สามารถช่วยให้สินค้าหรือบริการของคุณนั้น เข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมาก อาจเข้าถึงผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสนหรือเป็นล้านคน ในขณะที่ตัวเรานั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องคอยดูอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญก็คือ โฆษณาออนไลน์เหล่านี้ ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
วิธีที่ 3 – People Leverage
ในตอนต้นเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในแต่ละวันนั้น เรามีเวลาอยู่อย่างจำกัด ไม่ว่าใครที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ต่างก็มีเวลาติดตัวกันมาวันละ 86,400 วินาที เท่ากัน ไม่มีใครได้มากหรือน้อยไปกว่ากัน แต่คุณสามารถใช้เวลาในแต่ละวันได้มากขึ้น ด้วยการซื้อเวลาจากคนอื่น ๆ หรือจะเรียกว่าการจ้างคนอื่น มาช่วยทำงานหยุม ๆ หยิม ๆ แทนคุณ เพื่อที่คุณจะได้ไปทำงานที่มันสำคัญกว่า และมีแต่คุณเท่านั้น ที่สามารถทำมันได้ คนอื่นทำแทนไม่ได้ ดังนั้น งานไหนที่คนอื่นสามารถทำแทนคุณได้และเมื่อเทียบค่าแรงแล้ว เราจ่ายค่าแรงน้อยกว่าตัวเราเอง คุณก็ควรแบ่งเงินก้อนนั้น เพื่อไปซื้อเวลาคนอื่น เพื่อให้คุณมีเวลาเหลือไปทำในสิ่งที่มันสำคัญที่สุด
วิธีที่ 4 – System Leverage
ในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีนั้น ข้อดีของมันก็คือ มันสามารถช่วยให้ชีวิตของมนุษย์เราสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และใช้เวลาและแรงน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น ซึ่งเจ้า System หรือระบบที่ว่านี้ แทบจะมีอยู่ในทุก ๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณหรือชีวิตประจำวันของคุณ เช่น การใช้ระบบทำบัญชีออนไลน์, การใช้ระบบการจัดการอีเมล, การใช้ระบบจัดตารางปฏิทินในแต่ละวัน, การใช้ระบบในการสร้างทีมงานให้ทำงานอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ฯลฯ
และนี่ก็คือตัวอย่างบางส่วนที่เหล่าบรรดาเศรษฐีร้อยล้าน พันล้าน ใช้กัน เพื่อนำพาให้ตนเองและธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น เพราะเพียงลำพังตัวคุณคนเดียว การที่จะคว้าเงินล้านนั้น สามารถทำได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้น แต่ในขณะที่การใช้พลังทวีเข้ามาช่วยนั้น จะทำให้คุณสามารถคว้าเงินล้าน ร้อยล้าน พันล้าน ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
Resource