3 อุปนิสัย ที่คนรวยเขาทำกัน
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนรวย บางคนพอมีพอกิน และบางคนจน เพราะพวกเขาเหล่านั้น มีพฤติกรรม ลักษณะนิสัยและการกระทำที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งคนที่รวยจริง ๆ นั้น พวกเขาไม่ใช่แค่การใส่ของแพง ๆ ทำตัวให้ดูแพง ๆ ใส่ของหรู ๆ เที่ยวหรู ๆ แล้วบอกว่าฉันนี่แหละคือคนรวย ยกตัวอย่างเช่น หากเปรียบเทียบการซื้อนาฬิกาหรู ๆ สักเรือนนึง ระหว่าง คนรวย คนทั่วไป และคนจนนั้น คิดแตกต่างกัน
- คนจน คิดว่า การซื้อนาฬิกาแพง ๆ นั้น มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่อีกด้วย และฉันจะไม่มีวันซื้อมันเด็ดขาด (แต่อันที่จริงไม่มีปัญหาซื้อเลยต่างหาก)
- คนทั่วไป คิดว่า ฉันอยากมีนาฬิกาหรู ๆ สักเรือนนึง เอาไว้โชว์เท่ ๆ ออกงานสังคม อวดสาว แม้ว่าจะต้องรูดบัตรเครดิต เป็นหนี้ฉันก็ยอม
- คนรวย คิดว่า ฉันมีเงินเก็บในบัญชีอยู่ 1 ล้านบาท ถ้าฉันเอาฝากไว้ในธนาคาร ดอกเบี้ยคงโตไม่ทันเงินเฟ้อ และมูลค่าเงินของฉันต้องลดลงแน่ ๆ แต่หากฉันเอาไปลงทุนในนาฬิกาหรู อาจมีมูลค่าเพิ่มมากกว่าเงินเฟ้อ และอาจได้กำไรที่ดีกว่า
ความแตกต่างมันอยู่ที่ลักษณะนิสัย ดังนั้น หากคุณต้องการเป็นคนรวย คุณก็ต้องมีนิสัยและพฤติกรรมแบบคนรวย และนี่ก็คือ 3 พฤติกรรม
Habit ที่ 1 – คนรวยนั้นนับเงินของเขาอยู่เสมอ (Count Their Money)
ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเช็คเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บิลเรียกเก็บเงินต่าง ๆ การจับจ่ายใช้สอย การเสียภาษี พวกเขาแค่รับรู้ว่า จะต้องจ่ายสิ่งเหล่านั้น แต่พวกเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่า ทำไมถึงต้องจ่าย แค่ทำงานหาเงินและใช้จ่ายไปก็เท่านั้นเอง
แต่ในขณะที่คนรวยนั้น การสำรวจตัวเลขกลายเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญคือ การดูตัวเลขเหล่านั้นแบบมีความรู้ทางการเงิน
ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นเหมือนพนักงานบัญชีหรือเป็นนักวิเคราะห์ตัวเลขขั้นเทพ คุณเพียงแค่เป็นคนที่สามารถมองภาพรวมการเงินทั้งหมดของคุณและธุรกิจของคุณ แล้วปล่อยให้คนที่เก่งเรื่องตัวเลขและมีเวลาจดจ่ออยู่กับมันได้ทำหน้าที่ของพวกเขาไป คุณแค่ต้องรู้ว่า เงินของคุณเดินไปทางไหนบ้าง เช่น เงินก้อนนี้จ่ายค่าอะไร เพราะอะไร หรือเงินก้อนนี้ได้มายังไง แล้วจะทำอะไรกับเงินก้อนนี้ต่อ ซึ่งในสมัยนี้คุณสามารถเช็คบัญชีออนไลน์ผ่านมือถือได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสำหรับ Dan นั้นเขาเช็คเงินในทุก ๆ วัน และนั่งดูรายงานการเงินในทุก ๆ สัปดาห์ รวมไปถึงการวางเรื่องของภาษีในทุก ๆ ปี และ Dan ก็แนะนำให้คุณทำเช่นเดียวกัน
Habit ที่ 2 – คนรวยนั้นจ่ายให้ตัวเองก่อนเสมอ (Pay Themselves First)
คุณอาจจะเคยได้ยินประโยคนี้มาแล้วว่า พอเงินออกคุณก็ต้องเอาไปใช้กับตัวเองก่อน แต่ Dan บอกว่า การจ่ายตัวเองก่อนนั้น มันคนละเรื่องกันเลยกับการเอาเงินที่หามาได้นั้น ไปซื้อรถใหม่ ซื้อบ้านใหม่ ไปท่องเที่ยว ไปจับจ่ายใช้สอย เพราะ
- การซื้อรถใหม่นั้น คือคุณจ่ายให้บริษัทขายรถยนต์
- การซื้อบ้านใหม่นั้น คุณจ่ายให้กับธนาคารที่ให้สินเชื่อ
- การไปท่องเที่ยวคือ การจ่ายให้กับบริษัทท่องเที่ยว
- การจับจ่ายใช้สอย คือคุณจ่ายให้กับเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้า
จะสังเกตได้ว่า ไม่มีข้อไหนเลยที่บอกว่าเงินเข้ากระเป๋าคุณ และอีกเรื่องนึงก็คือออมเงิน หรือการประหยัดเงิน ก็ไม่ใช่การจ่ายให้ตัวคุณ เพราะนั่นคือการเซฟเงินเท่านั้น
ดังนั้น การจ่ายให้ตัวเองก่อน ความหมายของมันจริง ๆ แล้วก็คือ การจ่ายให้ตัวคุณเอง แล้วนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนให้มันออกดอกออกผล ซึ่งคุณอาจจะเริ่มต้นที่ ทันทีที่คุณได้เงินมา ให้คุณหักออกก่อนเลยทันที 10% จากรายได้ แล้วเก็บเงินนั้นไว้ เตรียมลงทุนให้มันงอกเงย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่รายได้คุณเพิ่มมากขึ้น ให้คุณค่อย ๆ เพิ่มเปอร์เซนต์การเก็บเงินให้มากขึ้นเรื่อย ๆ อาจเพิ่มจาก 10% เป็น 15%, 20%, 30%, 40% ยกตัวอย่างเช่น
- จ่ายให้ตัวเอง 10% จากรายได้ 20,000 บาท = 2,000 บาท (ใช้จ่ายได้ 18,000 บาท)
- จ่ายให้ตัวเอง 15% จากรายได้ 30,000 บาท = 4,500 บาท (ใช้จ่ายได้ 25,500 บาท)
- จ่ายให้ตัวเอง 20% จากรายได้ 40,000 บาท = 8,000 บาท (ใช้จ่ายได้ 32,000 บาท)
- จ่ายให้ตัวเอง 30% จากรายได้ 50,000 บาท =15,000 บาท (ใช้จ่ายได้ 35,000 บาท)
- จ่ายให้ตัวเอง 40% จากรายได้ 100,000 บาท = 40,000 บาท (ใช้จ่ายได้ 60,000 บาท)
จะสังเกตได้ว่า เมื่อคุณจ่ายให้ตัวเองในเปอร์เซนต์ที่สูงขึ้น เมื่อคุณมีรายได้มากขึ้น ก็ไม่ได้ส่งผลให้เงินจับจ่ายใช้สอยของคุณลดลงเลย เพราะขนาดคุณมีรายได้ 1 แสนบาท และจ่ายให้ตัวเองก่อนถึง 40% แต่คุณก็ยังเหลือเงินไว้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ถึง 60,000 บาท เลยทีเดียว แต่ในขณะที่หลาย ๆ คน เมื่อมีรายได้ที่สูงขึ้น แต่กลับไม่เพิ่มเปอร์เซนต์ในการจ่ายให้คุณเองก่อน สุดท้ายต่อให้คุณมีเงินเดือนมากเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายก็จะโตตามขึ้นรายได้มากเท่านั้น จนสุดท้ายต่อให้มีรายได้เดือนละเป็นแสนเป็นล้าน ถ้าไม่จ่ายให้ตัวเองก่อน ก็หมดอยู่ดี
ดังนั้น หากคุณไม่เริ่มจ่ายให้ตัวเองนับตั้งแต่ตอนนี้ ต่อให้คุณมีเงินเป็นแสนเป็นล้าน คุณก็ไม่จ่ายให้ตัวเองก่อนอยู่ดี เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำเงินได้เท่าไหร่ แต่มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคุณต่างหาก
Habit ที่ 3 – คนรวยจะเพิ่มความสามารถในการทำเงินให้มากขึ้น (Improving Their Earning Ability)
หากคุณผ่าน Habit ข้อที่ 2 มาได้ มันจะทำให้ในทุก ๆ ปี คุณมีเงินในกระเป๋ามากยิ่งขึ้น และสิ่งที่คุณต้องเรียนรู้ในสเต็ปต่อไปก็คือ “การลงทุน” เพราะหากคุณนำเงินทั้งหมดฝากไว้ธนาคารเพียงอย่างเดียว ลำพังดอกเบี้ยเงินฝากนั้น ไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ กล่าวคือ สมมติว่าคุณฝากเงินไว้ในธนาคาร 1 ล้านบาท และคุณได้ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ และเงินเฟ้อในแต่ละปีเฉลี่ยอยู่ที่ 4 เปอร์เซ็นต์ (ซึ่งมีส่วนต่างกันอยู่ที่ 3 เปอร์เซ็นต์) ดังนั้น ผ่านไป 1 ปี ค่าเงินของคุณจะลดลง 30,000 บาท หรือเหลือมูลค่าของเงินเพียง 970,000 บาท (ทั้ง ๆ ที่ก็มีเงินอยู่ในบัญชี 1 ล้านเหมือนเดิม แต่กลับซื้อของได้น้อยลง)
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดยิ่งขึ้น
สมมติว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เรามีเงินอยู่ 100 บาท เราซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ในราคา 25 บาท เราจะซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ทั้งหมด 4 ชาม แต่ในปัจจุบันหากก๋วยเตี๋ยวมีราคา 50 บาท เราจะซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เพียง 2 ชามเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ก็มีเงินอยู่ 100 บาทเท่าเดิม
ดังนั้น ในทุก ๆ ปี เหล่าบรรดาคนรวยจึงต้องหาวิธีที่สามารถทำให้เงินนั้นงอกเงยขึ้นมาให้มากกว่าเงินเฟ้อให้ได้ โดยพวกเขาจะพัฒนาทักษะการใช้พลังทวี (leverage) ที่สามารถยกระดับรายได้ให้มากขึ้น โดยใช้แรงที่น้อยลง เช่น
- เสาะหาคนและทีมงานที่เก่ง ๆ เข้ามาร่วมทีมและช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโต
- พัฒนาทักษะการทำการตลาดให้ผู้คนรู้จักเราและธุรกิจของเรามากยิ่งขึ้น
และนี่ก็คือ 3 สุดยอด Habits ที่คนรวยเขาทำกัน Dan ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“You do not decide your future. You decide your habits and your habits decide your future.”
หมายถึง คุณไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของคุณได้ แต่คุณสามารถกำหนดลักษณะนิสัยของคุณได้ แล้วลักษณะนิสัยนั้นจะกำหนดชะตาชีวิตของคุณ
– Dan Lok –
Resources