Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

EconomyHow to

วิธีเตรียมรับมือในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตลาดใกล้พัง by Patrick Bet-David

Patrick Bet-David นักธุรกิจ นักลงทุน นักเขียน โซเชียลมีเดียอินฟลูเอนเซอร์ เจ้าของบริษัทประกันภัย และผู้ให้บริการให้คำแนะนำทางด้านการเงิน ที่ ณ ปี 2022 นี้ เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ราว ๆ $200 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือกว่า 7 พันล้านบาท ได้ออกมาให้ความรู้ส่วนตัวของเขา ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวในระหว่างที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

ที่แม้ว่าในช่วงวิกฤตจะมีบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ล้มหายตายจากเป็นจำนวนมาก และผู้คนต่างก็จนลง ล้มละลาย แต่ในขณะที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งกลับร่ำรวยขึ้นในช่วงเดียวกันนี้ ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้ Pat ยังคงรอดและนำพาให้ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้ ที่แม้ว่าจะผ่านหลายต่อหลายวิกฤตเศรษฐกิจก็ตามที

โดยหลังจากการมาของโรคระบาดอย่าง covid-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำอย่างต่อเนื่องกินเวลากว่า 2-3 ปี ก็ทำให้ไม่ว่าจะเป็นตลาดไหน ๆ ก็ตกหมด ทั้งตลาดหุ้น ตลาดคริปโตฯ

แต่ Pat บอกว่า มันยังสามารถตกต่ำย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ได้อีก และผู้คนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ก็คงไม่คิดว่ามันจะตกต่ำกว่านี้ได้อีก เพราะที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ก็ถือว่าย่ำแย่ ใช้ชีวิตกันลำบามากขึ้นอยู่แล้ว

ซึ่งส่วนตัวของ Pat บอกว่า มันอาจจะเกิดขึ้นภายในอีก 2-5 ปีข้างหน้านับจากนี้ ที่เขาวิเคราะห์เอาไว้ตั้งแต่เดือน มิถุนายน ปี 2022 ที่ผ่านมานี้

ซึ่งมันอาจจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงรอบสิบปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้

โดยเนื้อหาในตอนนี้ทาง Patrick Bet-David ก็จะมาพูดถึงวิธีการในการเตรียมรับมือกับทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย(Recession) และรวมไปถึงกรณีของ Market Crash ตลาดหุ้นพังด้วย

ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อตัวคุณได้รับข้อมูลดังกล่าว ก็จงเอาไปพินิจคิดวิเคราะห์ต่อว่า จะใช้ข้อมูลที่ได้รับมานี้ ไปวางแผนการเงินการลงทุนส่วนตัวอย่างไร เพราะในท้ายที่สุดมันก็คือเงินของคุณเอง มันคือการรักษาความมั่งคั่งส่วนตัวของคุณเอง คุณจะต้องตัดสินใจกันเอาเอง

โดย Pat เริ่มต้นที่อธิบายหัวข้อเนื้อหาต่าง ๆ ภายในคอนเท้นต์นี้ว่าตัวของเขาจะพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง

  • ความแตกต่างระหว่าง Market crash กับ Recession
  • สาเหตุว่าทำไม Recession จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
  • วิธีเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ Market crash
  • วิธีทำเงินล้านในช่วงที่กำลังเกิด Market crash และหลังเกิดตลาดพังลงด้วย

ซึ่ง Market crash นั้น ส่วนตัวเขาคาดการณ์เอาไว้ว่า มันอาจจะเกิดในช่วง 6-24 เดือน นับจากนี้ เพราะเขาไม่เชื่อว่าทางธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED นั้น จะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ และการที่ ณ ขณะนี้พวกเขาพยายามขึ้นดอกเบี้ย และปริ้นท์เงินเข้าสู่ระบบอย่างมหาศาลนั้น เป็นเพียงแค่การชะลอเวลาในการรอวันล่มสลายของตลาดก็เท่านั้นเอง

3 ขั้นตอนเตรียมตัวรับมือกับสภาวะ Market crash

ซึ่งจากเหตุการณ์โรคระบาด covid-19 เกิดขึ้น ตั้งแต่ช่วง 2 ปีแล้ว และมีการประกาศ lockdown ผู้คนทำได้อยู่แต่ที่บ้าน แต่กลับได้รับเงินแจกจากรัฐบาลที่พวกเขาปริ้นท์ออกมาอย่างมหาศาล

ซึ่งแม้ว่าเงินส่วนใหญ่จะตกไปอยู่กับคนรวยซะเยอะ แต่นั่นก็ทำให้บางคนที่เคยมีความมั่งคั่งอยู่ที่ $20,000 ล้านดอลล่าร์ฯ เพิ่มขึ้นเป็น $300,000 ล้านดอลล่าร์ฯ

หรือบางคนเคยมีความความมั่งคั่งอยู่ที่ $1 ล้านดอลล่าร์ฯ ก็เพิ่มขึ้นเป็น $300 ล้านดอลล่าร์ฯ

ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินเฟ้อที่รุนแรง ที่เกิดจากการปริ้นท์เงินเข้าสู่ระบบนับล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีบางส่วนที่ความมั่งคั่งได้ลดลงเนื่องจากตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับสถานการณ์สงครามในยูเครนเข้ามาอีกด้วย

ขั้นที่ 1 – Chase your next 0

แต่จากการที่ตลาดได้ปรับตัวลงมาอย่างรุนแรง มันก็อาจเป็นโอกาสที่ทำให้ใครหลายคน สามารถเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเองได้ ในช่วง 12-36 เดือนต่อจากนี้ เช่น

  • จากเดิมที่เคยมีอยู่ $100,000 ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น $1,000,000
  • หรือจากเดิมที่เคยมี $1,000,000 ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น $10,000,000 ถ้าหากคุณใส่เงินไว้ถูกที่ถูกทางในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้
  • หรือหากคุณมีแค่ $10,000 ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น $100,000
  • หรือบางคนบอกมี $100 ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น $1,000

ขั้นที่ 2 – การเกิด Recession จะเป็นผลดีต่อตลาด

ซึ่งทางทีมงาน Blue O’Clock ได้เคยเคยเนื้อหาที่ Elon Musk พูดถึงข้อดีของการเกิดสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยเอาไว้ที่นี่ ซึ่งโดยคร่าว ๆ ก็คือ ช่วงที่เกิด Recession นั้น จะเสมือนเป็นการล้างไพ่ใหม่กับบริษัทต่าง ๆ ที่จะทำให้เหลือแค่เพียงบริษัทที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ที่จะผ่านวิกฤตดังกล่าวไปได้ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มันเป็นช่วงที่แยกให้เห็นเด่นชัดระหว่างบริษัทที่ยอดแย่กับบริษัทที่ยอดเยี่ยมออกจากกันนั่นเอง

ขั้นที่ 3 – ผู้ที่เตรียมพร้อมรับมือเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ

โดย Patrick เขาได้ยกตัวอย่างจากตัวของเขาที่ได้ผ่านช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ผ่านมา

ปี 2001 Dotcom Bubble

ยกตัวอย่างเช่นในช่วงปี 2001 ที่เกิดสภาวะฟองสบู่ดอทคอมแตกนั้น เขากลับเริ่มต้นเปิดธุรกิจส่วนตัวใหม่ในวันที่ 9/10/2001 ที่เป็นธุรกิจในอุตสาหกรรมการเงิน แถมเดือนต่อมายังเกิดเหตุการณ์ 9 11 ที่เครื่องบินพุ่งชนตึก World Trade Center ซึ่งเป็นช่วงที่ Market Crash ตลาดพังลงดิ่งเหวแบบสุด ๆ

และก่อนที่จะเกิด Recession หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยตามมาหลังจากตลาดพังก็คือ เขาได้เริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับ Insurance เกี่ยวกับธุรกิจประกันภัย ซึ่งในช่วงนี้นี่แหละที่เขาบอกว่า คนทึ่ม ๆ แบบเขา ไม่น่าจะทำเงินได้ ก็กลับสามารถทำเงิน $100,000 หรือราว ๆ 3 ล้านกว่าบาทได้ในช่วงนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาเรียนไม่จบปริญญา พึ่งกลับมาจากการเกณฑ์ทหาร ที่มีแต่กล้ามโต ๆ ที่แขน

ซึ่งในช่วงนี้ลยุทธ์หลักของเขาคือการออมเงิน อารมณ์ประมาณว่า ตื่นมาโทรหาลูกค้า เก็บเงินประกัน ออมเงิน หมดวันแล้วก็นอนพัก แล้วก็ตื่นมาโทรหาลูกค้า วนลูปแบบนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน จนเขาออมเงินได้ราว ๆ $100,000

ปี 2008 Recession – Subprime mortgage crisis

และในปี 2008 ก็เกิดสภาวะ Recession สภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ซึ่งในช่วงนี้ก็มีเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่าง Subprime mortgage crisis หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้พังลง

ซึ่งในช่วงนี้ทั้งเงินออม เงินลงทุนของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็น $500,000

และในเวลาต่อมาในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 2009 เขาก็ได้ก่อตั้งบริษัท PHP AGENCY ที่เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการเงิน วางระบบการเงินให้กับองค์กรต่าง ๆ ขึ้นมา

ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในการก่อตั้งบริษัทเกี่ยวกับการเงินเลยก็ว่าได้ เพราะในช่วงนี้นี่เองที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง AIG ที่เป็นกลุ่มบริษัทประกันภัย และผู้ให้บริการทางการเงิน สัญชาติอเมริกัน ก็เกือบล่มสลายด้วยเหมือนกัน

แต่ในช่วงนี้นี่แหละ ที่บริษัทของเขาจากเดิมที่มี agent ตัวแทนประกันภัยเพียง 66 คน ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 20,000+ กว่าคนในทุกวันนี้

และในช่วงก่อนที่จะเกิดสภาวะ Recession ครั้งต่อไป ในช่วงนี้นี่เอง ที่เขาสามารถทำเงินล้านแรกได้เป็นที่สำเร็จ ($1 M)

ปี 2020 Covid Market Crash

ซึ่งหลังจากที่เกิดการ lockdown ประเทศ ธุรกิจ บริษัทห้างร้านต่าง ๆ หยุดชะงัก บริษัทไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่าย จึงเกิดโครงการ PPP LOAN ที่เป็นสินเชื่อให้แก่ธุรกิจ SMEs ในสหรัฐฯ

ซึ่งถ้า Pattrick ทำการกู้เงินจากตรงนี้ บริษัทเขาจะได้เงินสดมาราว ๆ $4 ล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อมาใช้หมุนได้ แต่ก็ต้องเสียดอกเบี้ยด้วย

แต่ Pat บอกว่า ก็ในเมื่อบริษทัเรามีเงินสดในคลังอยู่กว่า $15 ล้านดอลล่าร์ฯ จะไปกู้มาทำไม และคนที่มาเสนอเงินกู้ก้อนใหญ่นี้ให้แก่เขา เขาก็บอกว่า น่าจะไปให้พวกร้านอาหารที่เดือดร้อนจากการที่ต้องถูกบังคับให้ปิดร้านจนเจ๊งซะมากกว่า

ดังนั้น การมีเงินสดสำรองเอาไว้ภายในบริษัทใช้ในยามฉุกเฉินนั้น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะในช่วงที่ประเทศถูก lockdown นั้น รายได้จะหายวับไปในทันที ในขณะที่รายจ่ายยังคงเดินหน้าอยู่เช่นเดิม

ซึ่งอันที่จริงธุรกิจของเขาที่เกือบ 100% ต้องนัดพบปะพูดคุยกับลูกค้าซึ่ง ๆ หน้า เพราะมันคุยผ่าน Zoom แล้วมันไม่ค่อยเวิร์ค

ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายใน 6 เดือน หลังจากเกิด covid-19 แต่ธุรกิจเขาก็ยังตะกุกตะกักกับการไปหาลูกค้าแบบตัวต่อตัวอยู่ ดังนั้นแม้ว่าจะกล้า ๆ กลัวที่จะใช้ zoom ให้มากขึ้นในการติดต่อพูดคุยกับลูกค้า แต่เขาก็ตัดสินค้า เพิ่มการขายผ่าน Zoom เป็น 10% และยังใช้การพูดคุยซึ่งหน้าอยู่ 90%

ซึ่งนั่นมันก็ดีกว่าไม่ลองเปลี่ยนรูปแบบอะไรเลย

ดังนั้น Pat จึงเตือนว่า ในตอนนี้ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตามที หากคุณไม่มีการเตรียมตัวใด ๆ คิดว่า เศรษฐกิจคงไม่ย่ำแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรหรอก ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรหรอก ก็ดำเนินชีวิต ดำเนินธุรกิจตามปกติต่อไป

ซึ่งการชะล่าใจดังกล่าว ราคาที่คุณอาจจะต้องจ่ายก็คือ ถ้าเป็นบริษัทก็เตรียมปิดกิจการได้เลย ส่วนถ้าดันเป็นพนักงานของบริษัทที่ปิดตัวลง แต่ไม่มีการเตรียมตัวใด ๆ เลย แย่แน่นอน เพราะนอกจากจะตกงานแล้ว ยังหางานใหม่ยากสุด ๆ ในช่วงดังกล่าวซะด้วย และยิ่งไม่มีเงินเก็บเงินออม ไม่มีการวางแผนการลงทุนก่อนหน้านี้ ไม่มีแหล่งรายได้ที่สองที่สามเผื่อเอาไว้ แย่แน่ ๆ ในช่วง 12-24 เดือนนับจากนี้

ในขณะที่ช่วงนี้ มีคนแพนิค ตกใจ อย่างรุนแรงเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนตัวของ Pat เขาเป็นนักสะสมการ์ด baseball อยู่แล้ว ซึ่งเขาได้การ์ดหายากมา 2 ใบในราคา $540,000 ที่เจ้าของเดิมรีบขายออกในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเป็นอย่างมาก เพราะตกใจกับสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยและต้องการเงินสดเร่งด่วน

ซึ่งพอผ่านไปเพียง 13 เดือน หลังจากที่เศรษฐกิจได้ฟื้นตัวขึ้นมาแล้วนั้น การ์ด baseball ดังกล่าว เขากลับขายออกไปได้ในราคา $2.1 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือฟันกำไรเหนาะ ๆ เกือบ 4 เท่า ซึ่งราคาการ์ดดังกล่าวนอกจากมันจะราคาพุ่งเพิ่มขึ้นแล้วนั้น ก็ยังบวกกับได้ของราคาถูกจากเจ้าของคนก่อนหน้า ที่รีบขาย รีบใช้เงินด่วนเพราะไม่ได้เตรียมเงินสดเอาไว้เพียงพอกับวิกฤตที่เกิดขึ้นนั่นเอง

ซึ่งประเด็นที่ Pat พยายามจะสื่อก็คือ จะเป็นตลาดใดก็ได้ เป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ เป็นตลาดการลงทุนต่าง ๆ ก็ตามที พอมันเกิดวิกฤต จะมีผู้คนเป็นจำนวนมากตกใจแตกตื่น หวาดกลัว

ยกตัวอย่างจาก Robert Kiyosaki ที่เขาได้ทำการกู้เงินกว่า $300 ล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อเข้ากว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่กำลัง ON SALE ในช่วงที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่ในช่วงดังกล่าวมีแต่คนแย่งกันขายบ้าน ตัดราคาแล้วตัดราคาอีก ยอมหั่นราคากว่าครึ่ง เพื่อเปลี่ยนบ้านให้เป็นเงินสดเร็วที่สุด

ซึ่งในปัจจุบันอสังริมทรัพย์ดังกล่าว สามารถสร้าง Cash Flow ให้กับเขาได้อย่างมหาศาล

ดังนั้นคนที่มีเงินสดอยู่ในมือเป็นจำนวนมากบวกกับการตัดสินใจที่เฉียบคม จะทำให้คนดังกล่าว สามารถคว้าโอกาสในการทำเงินอย่างมหาศาลได้นั่นเอง

และในช่วงที่เกิดสภาวะ Recession นี้นี่เอง ก็ส่งผลให้ Patrick Bet-David เขามีเงินออมเพิ่มจากหลักแสนเป็นหลักล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และความมั่งคั่งก็เพิ่มเป็น แปดหลัก เก้าหลัก หรือกว่า $100,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้ในที่สุด

และนั่นคือที่มาของสูตรการไล่ล่าหาเลขศูนย์มาต่อท้ายความมั่งคั่งของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

เมื่อไม่นานมานี้ที่ทาง Elon Musk ก็เคยออกมาประกาศในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2022 ที่ผ่านมาว่า บริษัท Tesla จะทำการเตรียมเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนราว ๆ 10% อีกด้วย

แต่ไม่ว่าเศรษฐกิจมันจะพังหรือไม่นั้น มันไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นที่ Pat ต้องการจะสื่อก็คือ ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะถดถอย ตลาดโลกจะพังลง หรือไม่ก็ตามที เราก็ควรที่จะต้องหาวิธีเตรียมรับมือกับสภาวะดังกล่าว

ซึ่งถ้ามันไม่เกิดก็ดีไป แต่ถ้ามันเกิดเราก็จะได้เตรียมรับมือได้ทันท่วงที มันก็เหมือนกับการที่เราซื้อประกันชีวิตเอาไว้นั่นแหละ เราซื้อมันไม่ใช่เพราะว่าเรากะจะเสียชีวิตพรุ่งนี้สักกะหน่อย

หรือการที่เราสะสม emergency fund หรือเงินสำรองฉุกเฉินเอาไว้ในธนาคารนั้น มันก็ไม่ได้หมายถึงว่า สถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวนั้นจะมาถึงสักกะหน่อย

เพราะการที่เราทำแบบนั้น ก็เพราะ ‘เผื่อเอาไว้ก่อน’ เผื่อว่าจะเกิดสภาวะฉุกเฉิน เผื่อว่าจะเกิดเศรษฐกิจตกต่ำ เผื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

คำถามที่สำคัญก็คือ ถ้าเศรษฐกิจถดถอย ถ้าตลาดหุ้นพังลง เราเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วหรือยัง?

ทีนี้ มาดูความหมายของคำว่า Recession กับ Market Crash กันบ้าง

โดย Pat เริ่มต้นที่ความหมายของ Recession ว่ามันคือ สภาวะถดถอยของเศรษฐกิจชั่วคราวในเรื่องของการค้า การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะลดลง และจะส่งผลให้ GDP (Gross Domestic Product คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ที่นับรายได้ทั้งหมดของทุกสัญชาติที่เกิดขึ้นภายในประเทศ) นั้นลดลงติดต่อกันสองไตรมาส

ทีนี้มาดูความหมายของคำว่า Stock Market Crash กันบ้าง

โดย Pat บอกว่า มันคือ การที่ราคาหุ้นต่าง ๆ ในตลาดหุ้น มีราคาตกลงเป็นอย่างมาก และในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งก็จะส่งผลให้ผู้คนสูญเสียความมั่งคั่งในรูปของ paper หรือในกระดาษเป็นอย่างมาก

ซึ่งมีผลเกิดมาจากการที่ผู้คนในตลาดเกิดการ panic sell หรือตกใจเทขายหุ้นตาม ๆ กัน บวกกับเกิดการเก็งกำไรในช่วงนี้กันเป็นจำนวนมาก และเกิดสภาวะฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ

ซึ่งก็จะสังเกตได้ว่า ถ้าเป็น Market Crash ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นอาจกินเวลาภายในไม่กี่วันหรือภายในหนึ่งเดือน แต่ในขณะที่ Recession นั้น กินเวลายาวนานถึงสองไตรมาสหรือกว่า 6 เดือน

ทีนี้มาดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดสภาวะ Recession กันบ้าง

  • บริษัทห้างร้านต่าง ๆ เลิกกิจการ ปิดตัวลง
  • อัตราการเลิกจ้างงานสูงขึ้น
  • การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทำได้ยากขึ้น
  • การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีอัตราลดลง
  • ตลาดหุ้นตกลง

ซึ่ง Pat ก็ได้อธิบายต่อว่า ในช่วงนี้ก็จะเกิดเหตุการณ์ Stock Market Crash หรือตลาดหุ้นพังครืนลงมาด้วย

โดยเขาได้พยายามบรรยายให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นพังลงนั้น หน้าตาของมันจะเป็นอย่างไร

โดยสมมติว่า หากเรากำลังอยู่ในดงป่าใหญ่ ที่มีต้นไม้น้อยใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกัน แต่สิ่งที่ต้นไม้น้อยใหญ่ได้ไม่เท่ากันก็คือ ปริมาณแสงแดด ปริมาณน้ำฝน ซึ่งแน่นอนว่า ต้นไม้สูงใหญ่ที่เปรียบเสมือนบริษัทยักษ์ใหญ่นั้น ก็มักจะได้รับปริมาณแสงแดดและปริมาณน้ำฝนได้ดีกว่า ได้เยอะกว่า ต้นไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ด้านล่าง ที่แม้ว่าจะได้รับปริมาณน้ำฝนอยู่บ้างเล็กน้อย แต่แทบจะไม่ได้รับแสงแดดเลยซะด้วยซ้ำ

ดังนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ มักจะได้รับการสนับสนุน ได้รับการช่วยเหลือด้านเงินทุนเป็นจำนวนมาก ที่พวกเขาสามารถใช้เงินดังกล่าว ในการว่าจ้างคนที่เก่ง ๆ คนที่มีความสามารถสูง ๆ เข้ามาทำงานให้กับบริษัทตนเองได้

ในขณะที่บริษัทเล็ก ๆ น้องใหม่นั้น ทำได้ยากมาก

จนกระทั่ง จู่ ๆ ก็เกิดไฟป่าขึ้นมา ซึ่งเป็นไฟป่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันก็เหมือนกับช่วงที่เกิด Market Crash ที่มักจะเกิดขึ้นในทุก ๆ 5-10 ปี เป็นประจำ ถ้านับตั้งแต่ปี 1950 ของตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา (ซึ่งถ้าอเมริกาล่ม มันก็มักจะส่งผลกับตลาดโลกอย่างรุนแรงด้วย เพราะเป็นตลาดขนาดใหญ่ของโลก)

ซึ่งเมื่อเกิดไฟป่า เมื่อเกิดตลาดหุ้นพังลง ก็เป็นธรรมดาที่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เกิดการตื่นตระหนก ตกใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว

แต่หลังจากที่ไฟป่าสงบลง ตลาดหุ้นพังลงเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สภาพป่านั้นมันดูแย่มาก แทบไม่เหลือชิ้นดีอยู่เลยแม้แต่น้อย

แต่ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ป่าที่มีทั้งความมืด ทั้งแห้งแล้ง ทั้งเถ้าถ่าน ก็กลับค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัว มีพื้นหญ้าเริ่มเขียวขจีขึ้นมาอีกครั้ง

ซึ่งนี่แหละที่ Pat บอกว่า มันคือช่วงที่เหล่าบรรดาผู้คนที่เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าว จะลุกขึ้นมาและเติบโตขึ้นมาจากจุด ๆ นี้ได้

ซึ่งคำถามต่อมาก็คือ ทำไมการเกิดสภาวะ Recession นั้น จึงเป็นเรื่องที่ดี?

  • บริษัทที่ย่ำแย่จะออกจากธุรกิจไป
  • มีพื้นที่ให้บริษัทใหม่ ๆ ได้เติบโตมากยิ่งขึ้น
  • เริ่มต้นช่วงเวลาแห่งการเติบโตในช่วง 1 ทศวรรษต่อจากนี้
  • ไม่มีการโก่งราคาค่าตัวจากคนเก่ง ๆ เหมือนช่วงที่เศรษฐกิจรุ่งโรจน์ ที่คนเก่งมาก ๆ มักจะขู่บริษัทว่า ถ้ายอมขึ้นค่าแรงให้ พวกเขาจะออกไปทำงานให้กับบริษัทคู่แข่งแทน แต่ในช่วงนี้คนตกงานเยอะแยะเต็มไปหมด แถมยังมีอัตราการจ้างงานที่ต่ำ ดังนั้น แรงงานดี ๆ ค่าแรงสมเหตุสมผลจึงมีให้เลือกเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่ค่าตัวแพงแต่สกิลเท่าเดิมอย่างที่เคยเป็นมา

สภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ โดยทาง Patrick ได้บอกว่า

  • ค่าเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา สูงสุดในรอบ 40 ปี มีค่า inflation สูงถึง 8.5%
  • ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นกว่า 48% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับเมื่อปี 2021 ปีที่แล้ว
  • ค่าเช่าบ้านขนาดสองห้องนอนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 22% เมื่อเทียบกับปี 2021 ปีที่แล้ว

ซึ่งสำหรับคนฐานะปานกลางค่อนไปทางบนขึ้นไปนั้น อาจจะดูว่ามันเพิ่มขึ้นไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับคนปานกลางลงมานั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะค่าแรงในแต่ละปีนั้น ส่วนใหญ่ก็เพิ่มขึ้นไม่เกิน 10%

ดังนั้น หากใครที่มีรายได้โตน้อยกว่าค่าเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ แล้วนั้น จะลำบากมาก ๆ ในการที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

ทีนี้มาดูตัวเลขในตลาดเงินต่าง ๆ กันบ้าง

S&P 500 ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึง เดือน กันยายน 2022 นี้ -18.19%
NASDAQ ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึง เดือน กันยายน 2022 นี้ -26.54%
APPLE ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึง เดือน กันยายน 2022 นี้ -14.39%
META(facerbook) ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึง เดือน กันยายน 2022 นี้ -52.64%
NETFLIX ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึง เดือน กันยายน 2022 นี้ -62.15%
AMAZON ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึง เดือน กันยายน 2022 นี้ -25.17%
ALPHABET(google) ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึง เดือน กันยายน 2022 นี้ -25.62%
TESLA ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึง เดือน กันยายน 2022 นี้ -32.44%

ทั้ง ๆ ที่บริษัทเหล่านี้ เป็นบริษัทที่ดีทั้งนั้น แต่ทำไมกลับมีราคาหุ้นที่ตกต่ำลง ซึ่งมันอาจใช้เป็นอินดิเคเตอร์เพื่อบ่งบอกว่า ตลาดขาลงต่ำสุดกำลังมาถึงแล้วหรือไม่?

bitcoin ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึง เดือน กันยายน 2022 นี้ -59.75%

โดย Pat บอกว่า ที่ปรึกษาด้านการเงินของเขาบอกว่า ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ทาง FED ขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกัน 2 ครั้ง ขึ้นไปภายในไตรมาสเดียว โอกาสที่จะเกิดสภาวะ Recession นั้น มีโอกาสสูงถึงร้อยละ 60 ภายในระยะเวลา 18 เดือน นับจากวันขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะเป็นช่วงปลายปี 2023 หรืออาจจะเป็นช่วงต้นปี 2024 หรืออย่างแย่สุดก็ภายในปี 2022 นี้เลย

How bad will things really get?

ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ สิ่งที่หลายคนอาจเห็นตามสื่อโซเชียลที่มักจะเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นอย่างเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีจากหุ้น เศรษฐีจากโลกคริปโตฯ ที่จู่ ๆ ก็มีกูรู ผู้เชี่ยวชาญที่เผยแพร่ความสำเร็จ ความรวย เกิดขึ้นอย่างมากมาย

แต่ Pat บอกว่า เราจะต้องฟังคำแนะนำอย่างระมัดระวังจากคนเหล่านั้น เพราะที่ผ่านมามันเป็นตลาดขาขึ้นมาโดยตลอด ไม่ว่าใครจะเอาเงินไปลงตลาดไหนก็ปังแทบทั้งสิ้น มันจึงมีคำว่า Lucky Millionaire หรือเศรษฐีที่ร่ำรวยขึ้นจากการโชคดีอย่างมากมาย

แต่สิ่งที่จะวัดว่า ใครเป็นเศรษฐีตัวจริงนั้น มันจะวัดกันในช่วงตลาดขาลง 2-3 ปี ต่อจากนี่แหละว่า ถ้าใครยังสามารถร่ำรวยอยู่ในขณะที่เศรษฐกิจย่ำแย่ นั่นแหละ ถึงจะเรียกว่าเป็นตัวจริง

ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบสุขของโลก ณ ตอนนี้ ก็สุ่มเสี่ยงที่อาจจะเกิดสงครามได้ ไม่ว่าจะเป็น สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ที่อาจลุกลามไปเป็นสงครามโลก ที่มีสหรัฐอเมริกาและจีน เข้ามาร่วมด้วย

นอกจากนั้น โลกยังต้องเผชิญกับค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง อย่างในสหรัฐอเมริกา ค่า CPI มีค่าสูงถึง 8.5% ส่วนในประเทศไทยค่า CPI ก็มีค่าสูงถึง 7.86%

แถมเหล่าบรรดาธุรกิจ SMEs ต่าง ๆ ก็ยังคงต้องเผชิญและฝ่าฟันกับวิกฤต covid-19 ไปให้ได้ แถมยังจะต้องเตรียมตัวเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่ที่อาจเป็นครั้งใหญ่กว่ารอบไหน ๆ ที่โลกเคยมีมาก็ได้

โดย Sir Winston Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า

“The farther back you can look, the farther forward you are likely to see”

หมายถึง “ยิ่งคุณมองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมาได้นานแค่ไหน คุณก็สามารถมองไปข้างหน้าได้ไกลเท่านั้น”

ซึ่งแม้ว่า หลายคนจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ในโลกการลงทุน ผลงานในอดีต ไม่สามารถใช้การันตีผลลัพธ์ในอนาคตได้” นั่นก็เป็นเพราะ กฎหมายการลงทุนโดยปกตินั้น ไม่อนุญาตให้ผู้คนเชิญชวนหรือให้คำแนะนำในการลงทุนใด ๆ เพื่อเป็นการชี้ชวน

และเช่นเดียวกันเนื้อหานี้ ก็ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวจาก Patrick Bet-David คนเดียวเท่านั้นเอง

ส่วนนี่ก็คือวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้เกิด Market Crash 10 อันดับที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกมาแล้ว ที่เรียงลำดับความรุนแรงจากน้อยไปหามาก

อันดับที่ 10 Covid-19 Pandemic – FEB 19, 2020 – MAR 23, 2020

  • The market dropped -34%
  • Duration was 33 days

อันดับที่ 9 Computer Trading – AUG 25, 1987 – OCT 19, 1987

  • The market dropped -36.1%
  • Duration was 55 days

อันดับที่ 8 Dotcom Bubble & 9/11 – MAR 10, 2000 – OCT 2, 2002

  • The market dropped -36.8%
  • Duration was 26.8 months

อันดับที่ 7 World War II Crash – OCT, 1939 – APR 28, 1942

  • The market dropped -38%
  • Duration was 32 months

อันดับที่ 6 Panic of 1907 – JAN, 1907 – NOV, 1907

  • The market dropped -40.4%
  • Duration was 11 months

อันดับที่ 5 Continuance of great depression – SEP, 1932 – FEB 27, 1933

  • The market dropped -40.6%
  • Duration was 5 months and 20 days

อันดับที่ 4 USD off gold standard, Watergate, OPEC – JAN 11, 1973 – OCT 3, 1974

  • The market dropped -48.2%
  • Duration was 20 months and 23 days

อันดับที่ 3 Great Recession – OCT 9, 2007 – MAR 9, 2009

  • The market dropped -54.1%
  • Duration was 17 months

อันดับที่ 2 New deal programs were cut & Taxes increased – MAR 6, 1937 – MAR 31, 1938

  • The market dropped -54.5%
  • Duration was 12 months and 25 days

อันดับที่ 1 Great Depression – SEP 3 1929 – JUL 9, 1932

  • The market dropped -89.2%
  • Duration was 34 months

ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าว Pat พยายามจะสื่อให้เห็นว่า เวลาที่ Market Crash หรือตลาดหุ้นพังลงนั้น มันสามารถตกลงได้ตั้งแต่ -40% จนถึง -90% กันเลยทีเดียว โดยจะกินช่วงเวลาอยู่ที่ราว ๆ 1 เดือน จนถึง 3 ปี

แต่สิ่งที่ Pat บอกว่า แทนที่จะไปโฟกัสที่การกลัวการเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนั้น เขาอยากให้ดูข้อมูลต่อจากนี้ก่อนก็คือ ช่วงที่ตลาดเฟื่องฟู ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ตลาดพังลง

  • WWII – 6/1938 – 2/1945 (81 months)
  • Vietnam war era – 2/1961 – 12/1969 (108 months)
  • Reaganomics/cold war – 11/1982 – 7/1990 (93 months)
  • Tech bubble – 3/1991 – 3/2001 (112 months)
  • US housing bubble – 11/2001 – 12/2007 (74 months)
  • Covid pandemic – 6/2009 – 2/2020 (128 months)
  • Post pandemic – 4/2020 – 9/2022 (29 months)

จะเห็นได้ว่า ยุคเฟื่องฟูสุด ๆ ก่อนที่จะเกิดตลาดพังลงนั้น เศรษฐกิจมักจะเติบโตกันยาว ๆ แบบไม่มีหยุดไม่มีหย่อน ที่มีระยะช่วงเวลาตั้งแต่ 6-10 กว่าปี

ซึ่งหากใครก็ตามที่สามารถฝ่าฟันวิกฤตครั้งใหญ่ที่อาจกำลังจะมาถึงในช่วง 6-24 เดือนนับจากนี้ไปได้ โดยสามารถทำได้อย่างถูกต้อง ถูกที่ถูกเวลาแล้วล่ะก็ หลังจากนั้นเศรษฐกิจก็จะเกิดการเติบโตต่อเนื่องยาวนานไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี ที่กว่าจะมีเหตุการณ์ตลาดพังลงอีกครั้ง

ซึ่งในช่วงหลังเกิดวิกฤตนี้นี่แหละ ที่จะมีเหล่าบรรดาเศรษฐีหน้าใหม่ที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัว และประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นตัวจริงในสนามรบ ในสนามธุรกิจของโลกใบนี้

โดยบริษัทที่ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ มีหลายบริษัทที่เริ่มต้นในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็น

  • General electric got started in 1908
  • Hewlett-Packard got started during the 1937 (Fear of WWII)
  • Microsoft got started during the 1973
  • Uber, Airbnb all started after the great recession crash in 2008

Pat บอกว่า สาเหตุที่ในช่วงที่เกิดสภาวะ Recession หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย เป็นช่วงเวลาที่ดีในการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่นั้นก็เป็นเพราะ

Why recessions are a good time to start your business?

1 – Less competition : มีคู่แข่งน้อย

2 – All in mentality : เป็นช่วงที่สามารถลุยได้อย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรจะเสีย

3 – Access to talent : สามารถเข้าถึงคนที่มีความสามารถ มีพรสวรรค์จำนวนมากในตลาด

4 – Talent is priced at the real market value : ค่าตอบแทนของคนที่เก่งมีราคาสมเหตุสมผล

5 – Better rates ( rent, vendors, etc. ) : อัตราค่าเช่า ต้นทุนต่าง ๆ อยู่ในราคาดี ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าออฟฟิศ ค่าต้นทุนจากผู้ผลิตสินค้า เพราะทุกคนต่างต้องการเงินสดเข้ามา

8 Steps to prepare for the market crash

1 – Anticipation : การคาดคะเน

ซึ่งในเนื้อหาก่อนหน้านี้เราได้คาดคะเนไปแล้วว่า เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

2 – Risk tolerance : ระดับของการรับความเสี่ยง

แต่ละคนย่อมรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน เพราะแต่ละคนมีภาระแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นระดับของรายได้ ระดับของทรัพย์สิน ช่วงอายุ สมาชิกในครอบครัว ซึ่งบางคนสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มาก บางคนยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือบางคนยอมรับความเสี่ยงแทบไม่ได้เลย

ดังนั้น หากใครก็ตามที่สามารถบริหารความเสี่ยงได้ดีในช่วงต่อจากไปสัก 6-24 เดือน ก็มีโอกาสที่จะทำให้สถานะทางการเงินออกมาดูดีเลยทีเดียว

3 – Carry cash – Cash is KING

หลายคนอาจบอกว่า Cash is Trash เงินสดคือขยะ แต่ Pat บอกว่าเงินสดคือราชา เหตุผลนั้นก็เป็นเพราะ ในช่วงที่ตลาดกำลัง ON SALE ราคาทรัพย์สินต่าง ๆ ลดราคาลงเป็นอย่างมาก และการที่มีเงินสดอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ก็จะสามารถทำให้เราสามารถช้อนซื้อ Asset ต่าง ๆ ได้ในทันที

แต่บางคนบอกว่า เงินสดมันลดค่าลงในทุก ๆ ปี เนื่องมาจากค่าเงินเฟ้อ ตอนนี้ที่สหรัฐอเมริกา ก็มีค่าเงินเฟ้อ 8-9% แต่ Pat บอกว่า ส่วนใครเก็บเงินเอาไว้ในตลาดหุ้น ณ ตอนนี้ มูลค่าอาจหายไปแล้วกว่า -40%

แต่ Pat เขาก็ไม่ได้บอกว่า ให้เก็บเงินสดเอาไว้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการเก็บความมั่งคั่งในรูปของเงินสดนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไร และแม้ว่าสองปีที่ผ่านมาเงินสดมันไม่สวยหรู เพราะรัฐบาลปริ้นท์เงินดอลล่าร์ฯ ออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ Pat บอกว่า ในอนาคตในช่วง 24 เดือนนับจากนี้นี่แหละ ที่เงินสดคือ KING

4 – Avoid major real estate deals

หากใครกำลังเล็งที่จะซื้อบ้านในช่วงนี้ให้อดใจรออีกนิด เพราะตลาดกำลังจะลดราคาในช่วง 12-24 เดือนนับจากนี้ คุณจะได้ในราคาที่ถูกกว่านี้มากเลยทีเดียว

5 – Have a serious business plan in place

เตรียมแผนธุรกิจให้พร้อมอยู่เสมอ จังหวะเวลามาเมื่อไหร่ จะได้สามารถรันธุรกิจใหม่ได้ในทันที

6 – 5% precious metals

ให้แบ่งพอร์ทการลงทุนเก็บเอาไว้ในรูปของโลหะมีค่า อย่างเช่นทองคำ สัก 2-5%

7 – Protect your career

ไม่ว่า ณ ตอนนี้คุณจะทำอาชีพเกี่ยวกับอุตสาหกรรมใดก็ตามที ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นคุณว่าคุณซุ่มพัฒนาผลงาน ซุ่มอ่านหนังสือ ซุ่มลงคอร์สเรียนรู้เพิ่มเติม ซุ่มเข้างานสัมมนาหาความรู้ แต่นับจากนี้ไปอีกสองปี ให้คุณนำความรู้ในการพัฒนาตนเองทั้งหมด สร้างสรรค์ผลงานออกมาให้เห็นเป็นประจักษ์ คุณจะโดดเด่นมากในช่วงสองปีในอนาคตข้างหน้านี้

จงเป็นคนใหม่ในแบบของคุณในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม

8 – Take timeout and study your portfolio

ให้หาเวลาว่างสักหน่อยในการเรียนรู้แฟ้มผลงานที่คุณเคยทำมาว่า มีอะไรบ้าง และจะสามารถพัฒนาผลงานใหม่ ๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไรได้บ้าง อย่าหยุดอยู่กับที่ แต่จงทำให้ดีกว่าเดิม

10 steps make millions during a market crash

1 – Monitize fear : สร้างรายได้จากความกลัว

เมื่อสองปีก่อน สิ่งที่คุณพูด แม้ว่ามันจะมีประโยชน์ แต่ก็ไม่มีใครอยากฟังคุณ ในวันที่ตลาดหุ้นสวยหรู ราคา bitcoin แตะ $69,000 ไม่มีใครสนใจสิ่งที่คุณนำเสนอ

แต่พอมาตอนที่ตลาดตกต่ำ ตลาดพัง ราคา bitcoin เหลือแค่ไม่ถึง $20,000 ทีนี้ มีแต่คนอยากจะฟังในสิ่งที่คุณพูด เพราะพวกเขาอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ติดดอยต้องทำยังไง จะรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อย่างไรได้บ้าง

โดย Pat บอกว่า มันเป็นธรรมชาติของคนเรา เวลาที่อะไรมันดูสวยหรูไปหมด ใครเตือน ใครพูดก็ไม่ฟัง แต่พออะไรมันดูแย่ไปหมด ถึงจะค่อยกลับมาเริ่มฟัง

2 – The lazy, arrogant & overleveraged will be filtered out

ใครที่ขี้เกียจ เกียจคร้าน และลงทุนเกินตัวนั้น จะค่อย ๆ ถูกกรองให้ออกจากตลาดไป เพราะสองปีที่แล้ว ที่ตลาดกำลังดีอยู่ คนทำงานก็มักจะเกียจคร้าน เล่นตัวกับนายจ้าง ขู่ว่าถ้าไม่ขึ้นเงินเดือนให้ก็จะลาออกไปอยู่บริษัทคู่แข่งบ้างล่ะ แต่เชื่อเถอะว่าเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำย่ำแย่บริษัทมีแต่จะเกณฑ์คนออกไป โดยเฉพาะคนที่ขี้เกียจ เหย่อยิ่ง หยิ่งผยอง เล่นตัว

ส่วนนักลงทุนที่ชอบเก็งกำไรในตลาดหุ้น ในตลาดคริปโตฯ นั้น จะได้ยินข่าวอยู่บ่อย ๆ ว่า ถูกล้างพอร์ทอยู่บ่อย ๆ ในท้ายที่สุด กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะถูกกรองออกไปจากตลาดการลงทุน เพราะหมดตัว และจะเหลือเฉพาะนักลงทุนที่ดี ที่มีประสบการณ์ และมีแผนการการลงทุนที่ดี สามารถบริหารความเสี่ยง และไม่ลงทุนแบบเกินตัว

3 – Become bankable

ความหมายที่ Pat พยายามจะสื่อก็คือ ให้คุณเป็นผู้กำหนดทิศทางในตลาด ในอุตสาหกรรมที่คุณอยู่ ให้คุณเริ่มลงมือสื่อสาร ส่งสารออกไป จะผ่านตัวหนังสือ เสียง วีดีโอ สัมมนา ให้ลงมือทำตอนนี้เลย เพราะตลาดจะอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง หมดหวัง และต้องการผู้นำในตลาดบอกว่า คุณกำลังทำอะไร และพวกเขาควรทำอะไร และตลาดก็จะตอบรับคุณ

4 – Strength in numbers

สะสมเน็ตเวิร์ค สะสมคอมมูนิตี้ สะสมกำลังทรัพย์ สะสมกำลังคน สะสมทรัพย์สิน สะสมเงินทุน

ทางที่ง่าย และทำได้ในทันทีเลยก็คือ การสะสมคอมมูนิตี้ ซึ่งหากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของกลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์ค ก็จงเข้าร่วมกลุ่มของผู้อื่น และช่วยเหลือให้คำแนะนำกับผู้อื่น ซึ่งหากกลยุทธ์ของคุณมีประโยชน์และใช้ได้ผล คนในกลุ่มก็จะเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์ของคุณ และพวกเขาจะขอบคุณที่คุณช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้

เพราะในเวลาที่ย่ำแย่ การรวมกลุ่มของผู้คนที่สนใจในเรื่องเดียวกันนั้น เป็นสิ่งที่ดีกว่าการอยู่ตัวคนเดียว เพราะมันจะมืดแปดด้าน ดังนั้น การเข้าร่วมกลุ่มกับคนเก่ง ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเดียวกันกับคุณนั้น จะมีประโยชน์มาก ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว

และนอกจากนั้น Pat เขายังได้คุณกับเพื่อนนักธุรกิจเก่ง ๆ ที่รู้จักกันว่า พวกเขากำลังเริ่มต้นเฟ้นหาบุคคลากรเก่ง ๆ ในตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเรียกตัวเข้ามาทำงานร่วมกันทันทีที่จังหวะดี ๆ มาถึง

5 – Create a cause your company can rally behind

ธุรกิจจะดำเนินได้อย่างรุ่งโรจน์ แข็งแกร่ง ได้ในระยะยาวมากกว่าสิบปีได้นั้น มันจำเป็นที่จะต้องมีเรื่องที่มากกว่า การทำธุรกิจแล้วได้เงิน ได้ทอง ได้ท่องเที่ยวรอบโลก ได้ซื้อของนู่นนี่นั่นตามที่ต้องการ ได้ควงสาวสวยในฝัน มันต้องมากกว่านั้น

เพราะตัวของเขาเคยผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ว่ามานั้นหมดแล้ว เงินร้อยล้านก็มีแล้ว เที่ยวรอบโลกกว่า 30 ประเทศทั่วโลกก็ไปมาแล้ว ได้สาวในฝันมาเป็นภรรยาแล้ว

คำถามต่อมาที่เขาถามกับตนเองก็คือ “แล้วยังไงต่อ?”

เพราะหลังจากที่เขาประสบความสำเร็จกับบริษัทประกันภัยที่ทำให้เขามีเงินกว่า $200 ล้านดอลล่าร์ฯ แล้วนั้น เขาก็นึกถึงว่าเขามา ณ จุด ๆ นี้ได้อย่างไร?

ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นทหารผ่านศึกที่ประจำการมามากกว่า 20 ปี ที่ไม่มีเค้าโครงของนักธุรกิจเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นคนเชื้อสายอิหร่านที่มาเติบโตที่อเมริกา แถมยังเริ่มต้นทำธุรกิจหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ที่คนตะวันออกกลางทำกับอเมริกาอีกต่างหาก ไม่มีใครอยากทำธุรกิจกับเขาเลยพอรู้ว่าเขามีเชื้อสายมาจากประเทศในแถบตะวันออกกลาง

แต่แทนที่เขาจะร้องไห้ฟูมฟาย หาพ่อหาแม่ เขากลับส่งคนอื่นไปเจรจาธุรกิจแทนตัวของเขา และเขาก็ได้ดีลมาในที่สุด และแน่นอนว่า แม้เขาจะไม่ได้เป็นคนปิดดีลด้วยตัวเอง แต่เขาก็ยังคงได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการทำธุรกรรมดังกล่าวอยู่ดี

ดังนั้นการทำช่อง Youtube Valuetainment นั้น เขาก็อยากส่งมอบความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ เกี่ยวกับผู้ประกอบการขึ้นมา เพื่อที่หวังว่า ความรู้ที่เขาใช้ในการไต่เต้าจากคนที่ไม่มีอะไรเลย จนสามารถกลายเป็นอายุน้อยร้อยล้านได้นั้น จะช่วยให้ผู้อื่นสามารถทำแบบเขาได้บ้าง สามารถหลุดจากกับดักความยากจนนี้ไปได้ และนั่นคือสาเหตุที่เขายังคงรันธุรกิจสื่อความรู้ต่อไปจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง

6 – Cut the fat : ตัดไขมันส่วนเกิน

ความหมายของ Pat ก็คือ ให้คุณเลิกคบค้าสมาคมกับคนที่คิดลบ กับเพื่อนที่ห่วยแตก กับเพื่อนที่พาไปทางที่ไม่ดี รวมไปถึงพาร์ทเนอร์ที่แย่ ลูกน้องที่นิสัยไม่ดี หรือเพื่อนร่วมงานหรือใครก็ตามที่ชอบคิดลบ เป็นคนไม่ดี อย่าไปคบค้าสมาคมด้วย

หรือหากคุณเป็นพนักงาน แล้วต้องนั่งกินข้าวกลางวันกับเพื่อนร่วมงานที่ชอบนินทาเจ้านายให้ฟัง เพื่อที่จะหาพักพวกที่เกลียดหัวหน้าด้วยกัน หรือแม้แต่การบ่นถึงลูกเมียที่บ้านของพวกเขาให้เราฟัง ที่เราก็อยู่ของเราดี ๆ แต่กลับถึงบ้านกลับไปทะเลาะกับลูกกับเมียซะอย่างงั้น ให้หลีกเลี่ยงกลุ่มคนเหล่านี้ซะ เพราะคนเหล่านี้ นำพาพลังงานลบ ๆ ติดตัวมาด้วย และมันเป็นโรคติดต่อซะด้วยไอ้พลังงานลบ ๆ เหล่านี้

7 – Find your running mates

หาเพื่อนร่วมทางเดิน ในระหว่างที่คุณกำลังเดินทางไปยังเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้

8 – Double down on positive distractions

ทำในสิ่งที่เป็นบวกกับชีวิตเพิ่มขึ้นในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การอ่านหนังสือที่ใช่ ดูสารคดีที่ใช่ อยู่กับสังคมที่ใช่ อยู่กับคนที่ใช่ อยู่กับคนที่หิวกระหาย อยู่กับคนที่คิดบวก อยู่กับคนที่ไล่ล่าตามความฝัน เพราะเราก็จะได้สัมผัสพลังด้านบวกจากกลุ่มคนเหล่านี้

9 – Equip your team with all possible audibles

เตรียมทีมคุณให้พร้อมเมื่อโอกาสมาถึง เช่น หากเข้าซื้อกิจการใหม่ เราจะเอาคนที่เตรียมไว้ไปลุยกับโปรเจคนี้ หากเราซื้อซอร์ฟแวร์ตัวนั้น เราจะวางคนที่เตรียมเอาไว้ไปรันซอร์ฟแวร์ตัวนั้น

หรือไม่ว่าโอกาสอะไรจะมาก็ตามที หากเราเตรียมทีมงานเอาไว้พร้อม เราจะสามารถคว้าโอกาสนั้นไว้ได้ในทันที และพร้อมที่เดินหน้าต่อทันที

10 – Increase your level of urgency

เดินหน้าให้เร็วขึ้น ในยุคปลาเร็วชนะปลาช้า

คำแนะนำสุดท้ายที่ Patrick Bet-David อยากจะย้ำอีกครั้งก็คือ

” Don’t go about this alone ” หมายถึง “อย่าเดินอย่างโดดเดี่ยว”

ยกตัวอย่างจากการที่เขาเป็นทหารประจำการนานกว่า 20 ปี จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังคงติดต่ออยู่กับเพื่อน ๆ ที่เคยทำงานร่วมกัน หลายคนกลายเป็นตัวท็อปในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งการรายล้อมด้วยเพื่อน ด้วยคนเก่ง ๆ นั้น คุณจะได้แนวคิดดี ๆ mindset ดี ๆ พลังดี ๆ คำแนะนำดี ๆ คอนเนคชั่นดี ๆ จากพวกเขา

หรือแม้แต่แฟนของคุณ ครอบครัวของคุณ เพื่อนสนิทของคุณ พาร์ทเนอร์ของคุณ จงปรึกษาหารือกับพวกเขา ขอความร่วมมือจากพวกเขา เดินไปด้วยกัน

ส่วนในโลกธุรกิจ ที่ตัวของ Pat เขารู้สึกว่า การพาตัวเองไปอยู่ในคลาสเรียนคลาสหนึ่งที่เขาถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยก็คือ

หลังจากที่เขาได้เป็นนักขาย ที่สามารถหาเงินได้อย่างมากมายในช่วงปี 2014 นั้น แต่เขากลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเป็น CEO เกี่ยวกับการเป็นผู้บริหาร

เขาได้จ่ายเงินลงเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดคลาสสำหรับผู้บริหาร ที่มีค่าเรียนสูงถึง $49,000 หรือเกือบ ๆ 2 ล้านบาท แต่สิ่งที่เขาได้จากคลาสดังกล่าวก็คือ เขาได้พบกับ CEO ชุดชั้นในชื่อดังอย่าง Victoria’s Secret ที่ประจำตำแหน่งอยู่ที่ New Zealand กับ Australia ที่ดูแลพนักงานกว่า 6,000 ชีวิต และมียอดขายกว่า 7 หลัก

ได้โค้ชชิ่งให้กับ Pat ตลอดระยะเวลาสามสัปดาห์ในหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งนั่นมันส่งผลให้เขาเติบโตและกลายเป็น CEO ที่สามารถสร้างกิจการที่มีมูลค่ากว่า $450 ล้านดอลล่าร์ฯ ได้ในทุกวันนี้

ซึ่งในคลาสดังกล่าว ได้รวบรวมผู้บริหารจำนวนกว่า 144 คน จาก 64 ประเทศทั่วโลก ที่พวกเขาได้มาแชร์ประสบการณ์การล้มเหลวต่าง ๆ ที่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเผชิญด้วยตนเอง ที่แต่ละคนมาคอยบอกว่า อย่าเดินไปทางนั้น ให้เดินมาทางนี้ อย่าทำผิดพลาดเหมือนพวกเขา นั่นมันช่วยย่นระยะเวลาในการเดินในเส้นทางการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น เพราะไม่ต้องลองผิดลองถูกเองไปซะทุกเรื่อง Resources

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *