Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

โลกกำลังจะเปลี่ยนขั้วอำนาจ มหาอำนาจเก่าจะพังยับ by Ray Dalio

Ray Dalio ผู้ก่อตั้งบริษัท Bridgewater Associates ที่เป็น Hedge Fund หรือกองทุนป้องกันความเสี่ยงอันดับ 1 ของโลก โดย ณ ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $22,000 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 7.5 แสนล้านบาท เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 71 ของโลก

โดยล่าสุดเขาได้เขียนหนังสือเล่มใหม่ที่ชื่อว่า Principles for Dealing with the Changing World Order: Why Nations Succeed and Fail ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนขั้วมหาอำนาจทางการเงินระดับโลก ที่ตัวของเขาหลังจากที่ได้ค้นคว้าวิจัยและรวบรวมข้อมูลย้อนหลังกว่า 500 ปี เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจและการเงินโลก แล้วเขาพบว่า มันมีแพทเทิร์นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก

ซึ่งแน่นอนว่า ณ ปัจจุบันก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากสหรัฐอเมริกา แต่เขาก็พบว่าอเมริกานั้นหากเปรียบเทียบกับข้อมูลย้อนหลังทางเศรษฐกิจกว่า 500 ปี จะพบว่า ก่อนหน้าที่จะเป็นสหรัฐฯ ก่อนหน้านั้นเป็นยุคของ British หมู่เกาะอังกฤษ ที่โลกใช้เงินฟอนด์ในการเป็น Reserve Currency หรือใช้เป็นสกุลเงินสำรองคงคลัง และก่อนหน้า British ก็เป็นยุครุ่งเรืองของชาว Dutch หรือชาวเนเธอร์แลนด์ หรือชาวฮอลแลนด์ ที่โลกเลือกใช้สกุลเงิน Dutch guilder เป็น Reserve Currency มาก่อน

ซึ่งเมื่อลองมองมาในปัจจุบัน ทางสหรัฐอเมริกาก็ดูเหมือนได้เลยจุดรุ่งเรืองสูงสุดมาแล้ว และกำลังเข้าสู่ยุคแห่งการถดถอย และกำลังจะเข้าสู่ยุคเปลี่ยนขั้วมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก และนี่ก็คือ บทสัมภาษณ์ที่ทาง Ray Dalio บนช่อง Youtube ของ Tom Bilyeu ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2022 ที่ผ่านมา

โดย Ray ได้เริ่มต้นด้วยการบอกว่า โลกของเราได้ถูกจัดระเบียบหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945

และการเปลี่ยนถ่ายอำนาจหลังจากนั้น ก็มักจะเกิดมาจาก civil war หรือสงครามกลางเมือง ในแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนก็เคยเกิด civil war เมื่อปี 1949 และหลังจากจบสงครามกลางเมือง มันก็เหมือนกับเป็นการเริ่มต้นจัดระบบระเบียบใหม่ ซึ่งสงครามกลางเมืองนั้น เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง การปกครอง การเงินของประเทศ ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่กลายเป็นเครื่องมือในการรีเซ็ตระบบการเงินที่เน่าเฟะภายในประเทศได้เป็นอย่างดี เพื่อตั้งระบบใหม่ในการล้างหนี้เสียของประเทศ และผู้ชนะสงครามก็จะมีอำนาจล้นเหลือในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจโลก การเงินโลก

Bretton Woods Conference
Bretton Woods Conference

ยกตัวอย่างเช่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น สหรัฐอเมริกา เป็นผู้ชนะสงครามในครั้งนี้ นั่นจึงทำให้ทองคำจำนวนกว่า 80% ของทั้งโลก ถูกอเมริกายึดเอาไว้ และทองคำก็ทำหน้าที่เป็นเงิน คนมีเงินเยอะก็ได้เปรียบในทุก ๆ ด้าน ที่ส่งผลให้มีอำานจทางการทหารที่แข็งแกร่ง มีอาวุธมหาประลัยอย่างนิวเคลียร์เอาไว้ในครอบครองเยอะที่สุดในโลก และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนขั้วมหาอำนาจโลก โดยมีเหตุการณ์สำคัญในวันนั้นก็คือ Bretton Woods System ที่สหรัฐได้ทำการผูกค่าเงินดอลล่าร์ของตนเองเข้ากับทองคำ โดยที่กำหนดอัตราการแลกเปลี่ยนที่คงที่

และประเทศที่ชนะสงคราม สกุลเงินของผู้ชนะ ก็จะกลายมาเป็น Reserve Currency หรือกลายเป็นสกุลเงินสำรองของแต่ละประเทศ เพราะการค้าขายกันระหว่างประเทศจำเป็นที่จะต้องมีตัวกลางในการแลกเปลี่ยนนั่นก็คือ ‘เงิน’ ซึ่งสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ได้กลายมาเป็นสกุลเงินสำรองของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มันก็ทำหน้าที่เหมือนกับภาษาในการสื่อสารของคนเรา เวลาเราจะติดต่อพูดคุยค้าขายระหว่างประเทศ ก็จะต้องมีภาษากลางในการสื่อสาร อย่างภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ชนะเลิศในตลาดโลก เป็นต้น

และเหตุผลที่ผู้คนเลือกที่จะเก็บสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นเงินทุนสำรองนั้นก็เพราะ พวกเขาเชื่อว่า มันคือสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุด มีเสถียรภาพที่สุด

โดย Ray ได้เล่าภาพใหญ่ของการเกิด The Big Cycle ว่า มันจะประกอบไปด้วยกันอยู่ 3 ช่วง ใหญ่ ๆ ก็คือ

  • ช่วงที่ 1 – The Rise ช่วงขาขึ้น
  • ช่วงที่ 2 – The Top ช่วงรุ่งโรจน์สุด ๆ
  • ช่วงที่ 3 – The Decline ช่วงขาลง

โดยช่วงขาขึ้น ก็คือช่วงที่กล่าวมาแล้วว่า หลังจากที่ชนะสงคราม ก็จะมีการจัดระเบียบและตั้งกฎเกณฑ์ในด้านเศรษฐกิจของโลกใหม่ และสกุลเงินของผู้ชนะได้กลายเป็น Reserve Currency ของโลก

โดยในช่วงนี้โลกก็จะเกิดความสงบสุข หลังจากพังพินาศมาจากสงคราม ผู้คนอยากเริ่มต้นสร้างชีวิตใหม่โดยปราศจากความขัดแย้ง ผู้คนก็จะเริ่มผลิตเริ่มสร้างสินค้าและบริการออกมาอย่างมากมาย ทำให้เศรษฐกิจเริ่มโตขึ้น แล้วผู้คนก็เริ่มใช้ Leverage หรือพลังทวี จากการกู้ยืมเงินเพื่อขยายกิจการ ซึ่งคือช่วงรุ่งโรจน์สุด ๆ และช่วงนี้นี่แหละคือช่วงที่เกิดฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ ซึ่งคนรวยจะทำได้ดีมากกว่าคนชนชั้นกลางและคนจน จนทำให้เริ่มเกิดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อช่องว่างระหว่างชนชั้นเพิ่มมากจนเกินไป ณ จุดนี้จะเริ่มเกิดความขัดแย้งกันภายในประเทศ

และแน่นอนว่า มันเป็นจังหวะเหมาะเหม็งที่ประเทศอื่น ๆ ที่เฝ้าดูอยู่ เมื่อเห็นมหาอำนาจเริ่มอ่อนแอ ก็จะใช้จังหวะนี้ในการเร่งพัฒนาภายในประเทศตนเอง ขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งคนสำคัญ

ต่อมาคือช่วงขาลงที่มีสัญญาณของเศรษฐกิจในทางลบ มีการสร้างหนี้ ใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่หาได้ และเริ่มปริ้นท์เงินอย่างมหาศาล เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ในช่วงนี้อาจเกิดสงครามหรือความขัดแย้งระดับโลก ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ทางเศรษฐกิจ

โดยสัญญาณที่เริ่มจะก่อตัวว่าภายในประเทศเริ่มมีปัญหาก็คือ ผู้คนภายในประเทศมีหนี้สินมากกว่ารายรับ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเงินออม จำนวนหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และเกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นของคนรวยกับคนจนที่สูงจนเกิดความขัดแย้งภายใน

ซึ่งวัฏจักรดังกล่าว ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ทฤษฎี แต่ Ray เขาพบว่า มันมีสิ่งที่วัดค่าได้ ไม่ได้การคาดเดาหรือเดาสุ่ม แต่มันเกิดจากค่าสถิติต่าง ๆ ที่วัดได้ตั้งแต่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น

  • การวัดค่าความมั่งคั่งและความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น
  • การวัดค่าจำนวนหนี้สิน
  • การวัดค่าจากจำนวนการปริ้นท์เงิน
  • แม้กระทั่งการวัดค่าความขัดแย้ง

ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น เราสามารถวัดค่าและตรวจสอบมันได้ว่า มันจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร

โดยหากแบ่งแยกย่อยให้ละเอียดขึ้นมาอีกนิด The Big Cycle ของ Ray Dalio นั้นจะแบ่งได้เป็น 6 Stage ใหญ่ ๆ ก็คือ

  • Stage 1 – New internal order and new leadership : การจัดระเบียบกฎเกณฑ์ภายใต้ผู้นำใหม่
  • Stage 2 – Resource-allocation systems and goverment bureaucracies are built and refined : การจัดสรรสรรพากรและการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองและรัฐบาลใหม่
  • Stage 3 – Peace and prosperity : สันติสุขและความเจริญรุ่งเรือง
  • Stage 4 – Excesses and widening of wealth and other gaps : การขยายตัวของความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วและการเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน
  • Stage 5 – Bad financial conditions and intense conflicts : สถานะทางการเงินย่ำแย่และเกิดความขัดแย้ง
  • Stage 6 – Civil wars and revolutions : เกิดสงครามภายในอย่างรุนแรงและเกิดการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่

โดย Ray บอกว่า ตอนนี้ทางสหรัฐอเมริกา ได้เข้าสู่ช่วงที่ 5 ของ cycle แล้ว นั่นก็คือ ประเทศเริ่มมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ มีหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ และมีการปริ้นท์เงินออกมาอย่างมหาศาลเพื่อเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ แต่การพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมากนั้น ก็ส่งผลให้เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง

ซึ่งการที่เขารู้ว่าตอนนี้สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ใน Stage ไหนได้นั้น เขาวัดจาก 3 สิ่งก็คือ

อย่างแรก – เกิดสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่

ในประเทศนั้น ระหว่างรายได้กับรายจ่าย อันไหนมากกว่ากัน และระหว่างเงินออมกับหนี้ อันไหนมากกว่ากัน ซึ่งสหรัฐอเมริกาตอนนี้คุณจะเห็นได้ว่า มีหนี้สินเป็นจำนวนมาก ส่งผลห้พวกเขาต้องพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมาก และเมื่อพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ค่าเงินดอลล่าร์ฯ ลดลง เงินสดกลายเป็นขยะที่ไม่มีใครอยากถือ คนรวยก็จะรีบเปลี่ยนเงินสดไปเป็นทรัพย์สินที่มีอัตราการเติบโตที่ชนะค่าเงินเฟ้อ ในขณะที่คนจนนั้นถือเงินสดที่มูลค่าลดลง แถมสินทรัพย์ยังแพงขึ้นอีก ยิ่งซื้อยากเข้าไปใหญ่ นั่นจึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งห่างมากขึ้นไปอีก

อย่างที่สอง – เกิดความขัดแย้งภายในประเทศอย่างรุนแรง

ให้ลองสังเกตดูว่าภายในประเทศมีการร่วมมือกันเป็นอย่างดี หรือกำลังโต้แย้งกันอย่างรุนแรง มันจะไม่มีคำว่าอยู่ตรงกลาง มันจะมีแต่ต้องเลือกว่าจะอยู่ฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งก็เคยเกิดเหตุในทำนองนี้มาแล้วในช่วงปี 1930 ที่เป็นช่วงเกิด The Great Depression หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 และมีการจัดระเบียบใหม่ อย่างที่เราได้เห็นทุกวันนี้ ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้ก็ได้เกิดขึ้นภายในประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การปฏิวัติของรัสเซีย การปฏิวัติของจีน การปฏิวัติของคิวบา โดยเขาได้เก็บตัวอย่างข้อมูลจากฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาภายในประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงขั้นมีผลสำรวจว่า อยากให้สมาชิกพรรคฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตมากถึง 15% หรือหากมีลูก พวกเขาจะสั่งห้ามไม่ยอมให้ลูกของตนแต่งงานกับผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเด็ดขาด ถึงขนาดที่ว่ามีการย้ายที่อยู่อาศัยไปอยู่ที่อื่นเนื่องจากที่อยู่เดิมนั้นมีแต่พวกฝ่ายตรงข้าม จึงเลือกที่จะย้ายไปเมืองที่มีแต่ผู้อยู่ฝั่งเดียวกับตน

ส่วนทางรัฐบาลก็แจกจ่ายเงินและให้เครดิตทางการเงินแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก มีการปริ้นท์เงินเป็นจำนวนมหาศาล ส่งผลให้เกิด hyper inflation หรือเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง แถมยังมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ยิ่งทำให้เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นมากยิ่งขึ้น มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนที่สูงขึ้น

อย่างที่สาม – การเพิ่มขึ้นของอำนาจอันยิ่งใหญ่จากประเทศคู่แข่ง

ในยุคนี้เราจะเห็นประเทศอย่างรัสเซียกับประเทศจีนนั้น พอพวกเขาเห็นประเทศอย่างอเมริกากำลังอ่อนแอ เปราะบาง พวกเขาก็เริ่มเรียนรู้และนำมาปรับใช้กับประเทศตนเองว่าทำอย่างไรจึงจะเข็มแข็งและแข็งแกร่ง ซึ่งความแข็งแกร่งในที่นี้หมายถึงแข็งแกร่งในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านทางการทหาร, ด้านการค้า ฯลฯ

และนั่นคือสิ่งที่เราจะต้องเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด

ส่วนถ้าถามว่า มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน ที่จะเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน โดย Ray Dalio ก็บอกว่า จากตัวเลขในอดีตกับปัจจุบัน มันมีโอกาสเกิดขึ้นอยู่ที่ราว ๆ 35-40% ซึ่งจากการที่เกิดเหตุการณ์การโจมตีในยูเครนนั้น ปรากฏการณ์ดังกล่าว การเร่งให้เกิดขึ้นเร็วไปอีกก็เป็นได้ แต่ป๋า Ray ก็บอกว่า ตัวเลขนี้อาจจะยังไม่แม่นยำสักเท่าไหร่นัก

แต่ที่เห็นได้ชัดก็คือ มันเริ่มแบ่งขั้วเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจนเหมือนช่วงสงครามโลกที่แบ่งเป็นฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายอักษะ

ซึ่งแม้ว่าทางรัสเซียกับจีนนั้น จะไม่ได้เป็นพวกเดียวกันอย่างชัดเจน แต่กลับมีศัตรูคนเดียวกันก็คือสหรัฐอเมริกา ดังนั้นศัตรูของศัตรูก็คือมิตรดี ๆ นี่เอง ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อรัสเซียถูกทางฝั่งสหรัฐฯ แบน แต่จีนกลับไม่แบน แต่เปลี่ยนเป็นทำในสิ่งที่ได้ประโยชน์ร่วมกันแทน

แต่ Ray ก็บอกว่า ถ้าให้มองในแง่ดีขึ้นมาหน่อย แทนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่ส่งทหารไปรบยิงกันตูมตามมันอาจจะแปรเปลี่ยนเป็นสงครามอย่างอื่นแทนก็ได้ เช่น

  • สงครามการค้า
  • สงครามเทคโนโลยี
  • สงครามภูมิรัฐศาสตร์ (สงครามการเมืองระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวเนื่องกับทางกายภาพทั้งมนุษย์และพื้นที่ทางภูมิศาสตร์)
  • สงครามเงินทุน

ซึ่ง ณ ตอนนี้ ระหว่างสหรัฐอเมริกา ได้ทำสงครามทั้งสี่เหล่านี้กับประเทศจีนอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีสงครามที่สู้กันด้วยทหารและปืน

ส่วนกับรัสเซียกับยูเครนนั้น ทางสหรัฐอเมริกาก็มีเอี่ยวในเรื่องของการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครน และสำสงครามด้านเงินทุน โดยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า มีการแบนมหาเศรษฐีหลายคนที่เป็นชาวรัสเซีย เพื่อตัดท่อส่งน้ำเลี้ยงในการส่งเงินจากนอกประเทศไปยังรัสเซีย ตัวอย่างเช่น โรมัน อับราโมวิช เจ้าของทีมฟุตบอลอย่างเชลซี ที่ถูกอายัดการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดในประเทศอังกฤษ

หรือที่มีแบรนด์ชื่อดังหลายต่อหลายแบรนด์ แห่กันคว่ำบาตรกับรัสเซีย ด้วยการหยุดการค้าขายในประเทศรัสเซีย

รวมไปถึงธุรกรรมทางการเงินทุกอย่างที่เป็นของรัสเซียนั้น ถูกแบน ถูกยึด ถูกริบ แทบทั้งสิ้น และนั่นก็คือความสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมากต่อสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เพราะมีเงินสำรองคงคลังบางส่วนที่รัสเซียเก็บไว้เป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ นั้นก็ถูกแบนด้วย

นั่นมันทำให้หลายต่อหลายประเทศทั่วโลก เริ่มวิตกกังวลแล้วว่า ถ้าไปมีเรื่องกับสหรัฐฯ เงินสำรองคงคลังที่พวกเขาเก็บเอาไว้เป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ นั้นจะสูญสิ้นไปในพริบตาหากโดนคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

ดังนั้น มันก็จะเริ่มมีการเทขายเงิน US Dollar เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ นั่นจึงส่งผลให้ bonds market หรือตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ กำลังตกต่ำลง

ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ Ray บอกว่า โลกของเรากำลังอยู่ในช่วงของ The Big Cycle

ซึ่งสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ดังกล่าว สามารถตั้งคำถามออกเป็น 3 ข้อ และเราจำเป็นที่จะต้องรีบหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านั้นอย่างด่วนจี๋เลยทีเดียว นั่นก็คือ

คำถามข้อที่ 1 – ปูตินจะนำรัสเซียชนะหรือแพ้ในศึกครั้งนี้

ถ้าคำตอบคือ ปูตินชนะ รัสเซียชนะ พวกเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการตั้งแต่แรก นั่นก็คือ พวกเขาต้องการให้ยูเครนเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นกลาง เพื่อรับประกันและการันตีว่า รัสเซียจะไม่โดนบุกรุกในทิศนั้น ซึ่งรัสเซียจะยังคงมีอำนาจในการควบคุมทางทิศตะวันออกของยูเครน ซึ่งสิ่งนี้สำหรับรัสเซียถ้าทำได้พวกเขาจะไม่ถูกทำลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งแม้ว่าการกระทดังกล่าวจะทำให้ GDP ของประเทศลดลง 10-20% แต่ก็ยังคงทำให้ปูตินยังคงสามารถรักษาออำนาจเอาไว้อยู่กับตัวเขาได้ แค่นั้นก็ถือว่าเขาได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้แล้ว

และตอนนี้ทั้งโลกก็เฝ้าจับตามองการค่ำบาตรทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ที่อเมริกาทำกับรัสเซียอยู่ว่าจะได้ผลหรือไม่อย่างไรมากน้อยแค่ไหน

ซึ่งต้องยอมรับว่า หากเป็นสงครามแบบส่งทหารไปรบกันนั้น ตอนนี้มีหลายประเทศทั่วโลก สามารถกระทำได้ในระดับพอ ๆ กันกับอเมริกาแล้ว ดังนั้นอเมริกาไม่ได้มีกองกำลังทหารและอาวุธที่กินขาดจากประเทศอื่น ๆ แต่สิ่งที่เป็นอาวุธสำคัญที่สุดสำหรับสหรัฐอเมริกาตอนนี้ก็คือ ‘การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ’ ที่อยู่ในรูปของเงิน US Dollar ที่เป็นผลมาจากการที่มันกลายเป็น Reserve Currency คือมันได้แฝงตัวกลายเป็นสกุลเงินสำรองคงคลังของประเทศทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็น Big Asset สำหรับสหรัฐอเมริกา

แต่เมื่อใช้ US Dollar เป็นอาวุธแล้ว มันจะส่งผลให้หลายต่อหลายประเทศที่ไม่อยากถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐอเมริกา ก็ไม่อยากที่จะมีสกุลเงินนี้เอาไว้ในครอบครองเช่นกัน

ซึ่งก็ต้องเฝ้าดูกันต่อไปว่า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจนี้ จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน แต่มันจะมีปัญหาแน่ ๆ ถ้าหากมันใช้ไม่ได้ผล เพราะอย่างที่บอก การสู้รบกันด้วยทหารและอาวุธนั้น ตอนนี้อเมริกาไม่ได้กินขาดในเรื่องนั้นแล้ว

และการแบ่งฝ่ายก็เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อมีการโหวตลงคะแนนว่า มีประเทศใดบ้างที่แบนและไม่แบนรัสเซีย และมีประเทศใดบ้างที่ยังคงค้าขายและไม่ค้าขายกับรัสเซีย

ส่วนทางรัสเซียก็จัดทำรายการประเทศที่แบนและไม่แบนกับตนด้วยเช่นกัน

ซึ่งอีกไม่นานก็จะชัดเจนมากขึ้นว่า ประเทศใดเป็นพันธมิตรหรือเป็นปรปักษ์ของแต่ละฝ่ายกันบ้าง

แต่ที่แน่ ๆ แต่ละประเทศเริ่มเตรียมพร้อมการสู้รบกันแล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

แล้วความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของ Inflation หรือค่าเงินเฟ้อ เราจะจัดการกับมันอย่างไรได้บ้าง

โดย Ray บอกว่า การถือเงินสดกับทรัพย์สินที่เป็นยังคงเป็นหนี้อยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องดี

อย่างที่ พ่อรวยสอนลูกบอกเอาไว้ว่า บ้านไม่ใช่ทรัพย์สินเสมอไป ต้องดูด้วยว่าบ้านหลังนั้นนำเงินเข้าหรือนำเงินออกจากกระเป๋าของเรา ถ้ามันนำเงินเข้ากระเป๋าเรามันคือทรัพย์สิน แต่ถ้ามันนำเงินออกจากกระเป๋าเราบ้านหลังนั้นคือหนี้สิน

ส่วนเงินสดที่ผู้คนฝากเอาไว้ในธนาคารนั้น คนส่วนใหญ่คิดว่าการถือเงินสดคือสิ่งที่สามารถเก็บรักษาเงินของพวกเขาได้ปลอดภัยที่สุด แม้ว่าจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากอันน้อยนิดก็ตามที

แต่ Ray บอกว่า หากดูค่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ ณ ตอนนี้อยู่ที่ราว ๆ 8.5% ก็จะพบว่า ผู้คนที่ถือเงินสด พวกเขาจะสูญเสียอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยไปราว ๆ ปีละ 8% เป็นอย่างน้อย นั่นหมายถึงว่า จากเดิมปีนี้ที่เคยซื้อของได้ $100 แต่พอเป็นปีหน้าถ้าหากต้องการจะซื้อของชิ้นดังกล่าวชิ้นเดิมจะต้องใช้เงินถึง $108 จึงจะซื้อได้ หรือพูดในทางกลับกันเงินจำนวน $100 นั้นซื้อของชิ้นดังกล่าวไม่ได้แล้ว

ดังนั้น เราควรเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่าเราไม่ควรจะวัดว่าเรามีเงินจำนวนกี่ดอลล่าร์หรือกี่บาท แต่ให้เปลี่ยนเป็นว่า เรามีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยเท่าไหร่จะดีกว่า ดังนั้นในความเห็นของ Ray Dalio เขามักจะชอบพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า Cash is Trash เงินสดคือขยะดี ๆ นี่เอง

Diversification Portfolio- กระจายการลงทุน

ส่วนตัวของ Ray Dalio นั้น เขาเป็นนักลงทุนที่ชอบลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในหลากหลายทรัพย์สินที่แตกต่างกันออกไป ตามสูตร THE HOLY GRAIL สูตรการลงทุนให้ชนะทุกสภาวะตลาด ที่เขาใช้เป็นสูตรลับในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ

ซึ่งการลงทุนในทรัพย์สินแต่ละอย่างนั้น ควรจะให้ผลตอบแทนที่สามารถเอาชนะค่าเงินเฟ้อได้ ความหมายก็คือ ถ้าค่าเงินเฟ้อ ณ ตอนนี้เท่ากับ 8.5% ดังนั้น เราก็จะต้องลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 8.5% ต่อปี เป็นต้น

ซึ่งสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะทำกันก็คือ การลงทุนในอย่างใดอย่างหนึ่งแบบสุดตัว เช่น บางคนก็เน้นทองคำเป็นหลัก บางคนก็เน้นหุ้นเป็นหลัก บางคนก็เน้นกองทุนเป็นหลัก บางคนก็เน้นคริปโตเป็นหลัก

แต่สำหรับ Ray Dalio นั้น เขาบอกว่า เขาก็มี crypto อยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งหลายต่อหลายคนก็ประหลาดใจที่คนอย่าง Ray Dalio นั้นมีคริปโตไว้ในครอบครอง และในทางตรงกันข้าม Ray เขาก็ตกใจเหมือนกันว่า หลายต่อหลายคนทุ่มหมดหน้าตักไปกับ crypto เพียงอย่างเดียว

เพราะข้อเสียและสิ่งที่เขากังวลเกี่ยวกับ asset ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือ crypto นั้น มันเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีผลผลิตในตัวมันเอง และมันสามารถที่จะถูกทางรัฐบาลควบคุมได้ และมันเป็นทรัพย์สินที่ถูกตรวจสอบได้ง่าย ไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัว

ส่วนการที่เขาจะตัดสินใจลงทุนในบริษัทใดสักแห่งหนึ่งนั้น เขาจะมองหาบริษัทที่มีคุณสมบัติ 3 อย่างดังนี้ก็คือ

  1. มีรายได้มากกว่ารายจ่าย – มีงบดุลที่ดี โดยเฉพาะเรื่องของการมี cashflow หรือกระแสเงินสดที่ดี ซึ่เขาถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทบางแห่งสามารถระดมทุนได้อย่างมากมาย แต่พอมารันธุรกิจจริง ๆ กลับมีกระแสเงินสดที่ไม่ดี หาเงินได้ไม่มากพอกับความคาดหวังจากนักลงทุนที่ต้องการเห็นการเติบโตของบริษัทดังกล่าวในอานคตอย่างต่อเนื่อง
  2. ตำแหน่งที่ตั้ง – เขาจะดูว่า ที่ตั้งของคนทำงานนั้นอาศัยอยู่ที่ใดเป็นหลัก พวกเขาอาศัยอยู่ในเขตที่มีสงครามกลางเมืองหรือไม่ หรือถิ่นฐานที่พวกเขาทำงานอยู่นั้นมีตัวเลขการก่ออาชญากรรมที่สูงหรือเปล่า เพราะการที่ผู้คนจะทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพนั้น พวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ตัวอย่างเช่น เขามองว่าตอนนี้เมืองอย่าง New York City, Chicago หรือย่าง San Francisco นั้น มีอัตราการก่ออาชญากรรมที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนเริ่มย้ายถิ่นฐานออกจากเมืองดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นพวกเขาเริ่มย้านไปยัง Texas, Austin หรือย่าง Florida มากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงระบบเศรษฐกิจของแต่ละแห่งที่มีควาแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์ ภาษี ถ้าหากเรื่องเหล่านี้ไม่ดี มันก็จะส่งผลต่อธุรกิจในเมืองนั้น ๆ ด้วย เพราะแต่ละรัฐนั้น มีกฎระเบียบที่ไม่เหมือนกัน
  3. อยู่ในสภาวะสงครามหรือไม่ – บริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศหรือในเมืองที่มีความเป็นกลางมักทำได้ดีกว่า บริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศหรือในเขตสงคราม ดังนั้น Ray เขาจึงกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปในหลากหลายเขต หลากหลายประเทศ และเลือกทรัพย์สินที่สามารถปกป้องกองทุนของพวกเขาได้ โดยจะมีเกณฑ์ขั้นต่ำในการเลือกบริษัทเหล่านั้น

โดยคำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการใช้เทคนิคการลงทุนสไตล์เดียวกันกับ Ray Dalio นั้น เขามีคำแนะนำว่า หากต้องการสร้างพอร์ทลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงนั้น จุดประสงค์ของมันไม่ใช่เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุด แต่จุดประสงค์ของมันคือการลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด โดยที่ไม่ลดผลกำไรหรือผลตอบแทน และกระจายการลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเกี่ยวข้องกันน้อยที่สุด ซึ่งคุณสามารถดูวิธีการอย่างละเอียดในคลิป The Holy Grail by Ray Dalio ที่ทางทีมงาน Blue O’Clock เคยทำเอาไว้ก่อนหน้านี้

ส่วนว่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ นั้น ใครต่อใครต่างก็เชื่อว่า มันจะคงอยู่ตลอดไป แต่ The Big Cycle ที่ Ray Dalio ได้อธิบายมานั้น หากอ้างอิงในอดีตเมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำทางเศรษฐกิจโลกใหม่ สกุลเงินเก่าก็จะล่มสลาย เช่น เงินปอนด์ของอังกฤษ ที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

แต่ Ray ก็พูดถึงอีกเช่นกันว่า มันก็มีวิธีที่จะยืดเวลาการล่มสลายของเงิน USD Dollar ออกไปได้อยู่ ด้วยการที่สหรัฐอเมริกา จะต้องสามารถหารายได้ให้มากกว่ารายจ่าย สร้างเงินออมให้มากกว่าสร้างหนี้ เพื่อสร้างงบดุลที่ดี ด้วยวิธีการที่ต้องผลิตสินค้าและบริการที่ดีป้อนเข้าสู่ตลาด ไม่ใช่ผลิตเงินกระดาษเข้าสู่ตลาด อย่างที่รัฐบาลทำกันอยู่

และการที่ประเทศจะผลิตสินค้าและบริการที่ดีออกมาได้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ประชาชนจะต้องได้รับการศึกษาที่ดี พวกเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการเป็นพอลเมืองที่ดี และประเทศจะต้องมีระบบการจัดการที่ดี เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะสามารถสร้างผลผลิตออกมาเป็นสินค้าและบริการที่ดีออกมาได้ และนอกจากนั้นผลผลิตดังกล่าวจะต้องสามารถสร้างและกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

โดย Tom ก็ได้ถาม Ray ว่าถ้าหากเขาได้เป็นนักการเมือง เขาจะมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งทาง Ray Dalio ก็ตอบว่า เขาจะต้องรวบรวมคนที่ฉลาดที่เป็นกลางและสามารถทำงานร่วมกับทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงจะต้องมีนักออกแบบระบบเพื่อสร้างระบบในการกระจายโอกาสและความมั่งคั่งไปสู่ประชาชนทั่วประเทศ

และเขาจะต้องจัดการกับพวกหัวรุนแรงที่เป็นสมาชิกในปาร์ตี้ของแต่ละพรรค ที่กลุ่มนี้มักไม่มีการประนีประนอมใด ๆ ทั้งสิ้น เอาแต่จะไฟ้ท์ท่าเดียว และเป็นพวกที่อาจทำให้ระบบที่ออกแบบมาล้มเหลวไม่เป็นท่าได้

ส่วนด้านการศึกษาที่เป็นส่วนสำคัญที่เป็นรากฐานให้กับประเทศชาตินั้น คือการลงทุนที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุดต่อประเทศชาติ แต่เขากลับพบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย ในรัฐ Connecticut มีอัตราการถูกเชิญให้ออกจากโรงเรียนราว ๆ 22% เนื่องมาจากสาเหตุการขาดเรียนมากกว่าร้อยละ 25 นั่นหมายถึงว่า ถ้าเราเดินสวนเด็กวัยรุ่น 5 คน จะมีอยู่อย่างน้อย 1 คนที่ไม่ได้เรียนต่อ จะต้องเตรดเตร่อยู่ตามท้องถนน ไม่ได้รับการศึกษาที่ดี นั่นแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษาภายในประเทศ เพราะชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นอาจจบด้วยการไปอยู่ในคุกซะส่วนใหญ่ เข้า ๆ ออก ๆ อยู่แบบนี้

ส่วนการที่จะสร้างรากฐานด้านการศึกษาให้กับนักเรียนเหล่านี้ Ray เขามองว่า อุปกรณ์ที่สำคัญและจำเป็นต่อการศึกษาในยุคนี้ก็คือ คอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ต ที่ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ขั้นพื้นฐานที่นักเรียนทุกคนควรมี เฉกเช่นกับที่อยู่อาศัยที่จำเป็นต้องมีน้ำประชากับไฟฟ้าใช้

โดยจากผลสำรวจของ Ray เขาพบว่า นักเรียนในรัฐ Connecticut กว่า 60,000 คนนั้น ไม่มีคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการศึกษากัน ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลสามารถจัดหาให้ได้ ซึ่ง Ray เขามองว่า การลงทุนในการศึกษานั้นมันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม

แต่คนส่วนคนใหญ่มักมองในมุมการลงทุนว่า สิ่งนั้นจะต้องออกมาเป็นเงิน ออกมาเป็นผลกำไรอย่างเดียวเท่านั้น แต่การลงทุนในการศึกษานั้น สามารถได้มากกว่าตัวเงินเพียงอย่างเดียว

เพราะถ้าหันกลับไปดู ค่าใช้จ่ายในการที่จะต้องจัดการกับวัยรุ่นตกงาน, วัยรุ่นหันไปค้ายาเสพย์ติด, วัยรุ่นก่ออาชญากรรม, วัยรุ่นติดคุกนั้น มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการใช้เงินไปในเรื่องของการศึกษาซะอีก

หรือยกตัวอย่างจากการสร้าง infrastructure ในระบบการขนส่งและการคมนาคม เช่นการสร้างถนน หรือทางรถรางนั้น ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้หรือผลกำไรโดยตรง แต่มันทำให้การเดินทางและการขนส่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความเจริญก้าวหน้ามันก็จะตามมาเอง ถ้าพื้นฐานโครงสร้างมันดี

ส่วนความสำเร็จ หรือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น Ray มีมุมมองว่า การที่คน ๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเงินทองมากที่สุด หรือมีผลงานยอดเยี่ยมที่สุด แต่ขอให้คุณมีเพียงพอแบบที่ตนเองไม่เดือดร้อน สามารถดูแลตัวเองได้ ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่หามาได้ เมื่อทุกคนทำแบบนี้ได้ มันก็หมายถึงการมีสังคมที่สงบสุข เมื่อสังคมสงบสุข ประเทศชาติก็สามารถประสบความสำเร็จได้ และประเทศชาติคือมวลรวมของประชาชนแต่ละคนรวมเข้าด้วยกัน

ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจผิดว่า การดูแลตัวเองนั้น เป็นการเห็นแก่ตัว แต่สำหรับมุมมองของ Ray นั้นกลับมองว่า การที่ทุกคนสามารถดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดีนั้น นั่นเท่ากับว่า เป็นการทำเพื่อสังคมแล้ว และคนที่ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ก็จะสามารถแบ่งปันแก่ผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้นด้วย

ส่วนการทำงานร่วมกันระหว่างสองฝักฝ่ายนั้น Ray บอกว่า จะต้องหากลยุทธ์ที่ win-win กันทั้งสองฝ่าย แต่ในปัจจุบันมันมีแต่นโยบายแบบว่า ฉันได้-แกเสีย หรือฉันไม่ได้แกก็ต้องไม่ได้ ซะมากกว่า ไม่มีแบบได้ทั้งสองฝั่ง ซึ่งการที่จะทำแบบนั้น จำเป็นที่จะต้องมีความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างทั้งสองฝ่ายเสียก่อน ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการเข้าอกเข้าใจนั้นมันคนละอย่างกับการยอมรับหรือเห็นด้วยกับอีกฝ่าย จากนั้นก็ให้หาจุดร่วมที่ลงตัวที่ชนะกันทุกฝ่าย ดังเช่นประโยคที่ว่า 1+1=3 คือนอกจากจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแล้ว ประเทศชาติยังได้ประโยชน์อีกด้วย

และนี่ก็คือสิ่งที่ Ray Dalio มหาเศรษฐีพันล้าน ในวัย 72 ปี ที่เขาอยากส่งมอบข้อมูลที่ดี เป็นประโยชน์ และหวังว่าจะช่วยให้ผู้คนเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนขั้วอำนาจของโลกที่อาจจะลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้

Resources