Site icon Blue O'Clock

ใกล้ถึงจุดจบของอเมริกา by Robert Kiyosaki พ่อรวยสอนลูก

Robert Kiyosaki

Robert Kiyosaki เจ้าของผลงานเขียนชื่อดังอย่าง Rich Dad Poor Dad พ่อรวยสอนลูก ที่เขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์บนช่อง Youtube ของ Stansberry Research ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2022 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับสถาณการณ์ของเศรษฐกิจโลก ณ ขณะนี้

โดยพิธีกร Daniela Cambone ได้เริ่มต้นขอความเห็นเกี่ยวกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ทาง Robert Kiyosaki บอกว่า มันใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้วนั้น สถานการณ์ ณ ตอนนี้ มันเข้าใกล้มากแค่ไหนแล้ว? แล้วมีปัจจัยใดบ้างที่จะเป็นตัวเร่งให้มันระเบิดเร็วขึ้นบ้าง?

โดย Robert Kiyosaki เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงประธาธิบดีของสหรัฐอเมริกาว่า ณ ตอนนี้ ประเทศมีผู้นำที่อ่อนแอ และรัฐบาลที่ห่วยแตก กว่าสมัยไหน ๆ ที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น มีเหตุการณ์ที่ทาง FBI ทำ Laptop ของ Biden หายนั้น แสดงถึงความอ่อนแอมากแค่ไหนกับทีมงานชุดนี้ ป่านนี้ทางจีน รัสเซีย และคู่แข่งของสหรัฐอเมริกา มีสำเนาของคอมเครื่องนั้นไว้หมดแล้ว แต่ FBI ของสหรัฐ กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองลืมวางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คส่วนตัวของประธานาธิบดีไบเด้นเอาไว้ที่ไหนด้วยซ้ำ

และสถานการณ์โลก​ ณ ตอนนี้ก็จะเห็นได้ว่า จีนกับรัสเซียกำลังจับมือร่วมมือกันเพื่อรุมทึ้งอเมริกาอยู่ และสิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ สหรัฐอเมริกา ณ ตอนนี้ กลวงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะแหล่งผลิตสินค้าภายในประเทศนั้นแทบไม่เหลืออยู่แล้ว เพราะฐานการผลิตสินค้าต่าง ๆ อยู่ต่างประเทศเกือบหมด ดังนั้น สิ่งที่สหรัฐอเมริกาผลิตได้อย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ ‘ฟองสบู่’ ที่ทำได้แค่เพียงเป่าฟองให้มันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการปริ้นท์เงินดอลล่าร์ฯ ออกมาอย่างมหาศาลทำให้ทรัพย์สินต่าง ๆ ภายในประเทศมีราคาที่สูงขึ้น ทั้งในตลาดอสังหาริมทรัพย์, ตลาดหุ้น และพันธบัตรรัฐบาล ที่ราคาของทรัพย์สินเหล่านี้มันสูงขึ้น ราคาของมันไม่ได้ขึ้นสูงเพราะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นเลย แต่มันเกิดมาจากค่าเงินเฟ้อ ที่เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ด้อยค่าลง

ซึ่งจากสถติภายในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ประชาชนจำนวนกว่าร้อยละ 40 มีเงินเก็บไม่ถึง $1,000 ด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ก็จะส่งผลให้ชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศต้องทนทุกข์ทรมาน อดอยากปากแห้ง จนอาจนำไปสู่การเกิดจราจลภายในประเทศที่นำไปสู่การปฏิวัติประเทศครั้งใหญ่

ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ตลาดหุ้นในพังลง และกองทุน 401k ที่เป็นกองทุนเพื่อการเกษียณอายุของชาวอเมริกันก็จะถูกปิดตัวลง คนวัยเกษียณอายุก็จะไม่มีเงินบำนาญใช้อีกต่อไป ซึ่งมันเป็นทรัพย์สินที่ผู้คนไม่มีสิทธิ์ควบคุมหรือรักษาความมั่งคั่งของตนเองเอาไว้ได้เลย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม Robert Kiyosaki จึงพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า ให้พยายามซื้อ ทองคำ, แร่เงิน และ บิตคอยน์ เก็บเอาไว้ เพราะมันเป็นทรัพย์สินที่เราสามารถเก็บรักษาเอาไว้กับตัวเองได้ ไม่เสื่อมค่า และใช้เป็นเงินจริง ๆ ได้ และล่าสุดเขาก็ยังได้เพิ่ม ethereum และ solana เข้าไปในพอร์ทการลงทุนด้วย

ซึ่งส่วนตัวของ Robert Kiyosaki นั้น ตัวเขาไม่ชอบการลงทุนในตลาดหุ้น แต่บริษัทเขาก็อยู่ในตลาดหุ้นแต่เป็นบริษัทของเขาเอง และเขาก็เล็งเห็นว่า solana น่าจะมีศักยภาพในระยะยาว ที่เขามองว่าตอนนี้ราคาของมันยังถูกมาก เมื่อเทียบกับตอนที่เขาได้ลงทุนใน bitcoin เมื่อตอนที่ราคาของมันอยู่ที่ราว ๆ $6,000 หรือประมาณ 2 แสนกว่าบาท

ซึ่งจากที่รัฐบาลสหรัฐ เขามองว่าเป็นรัฐบาลยุคที่อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกาเลยก็ว่าได้ ซึ่งสาเหตุที่เขาชอบเก็บเป็นเหรียญทองคำ เหรียญเงิน นั้น ก็เพราะเหรียญเหล่านั้น สามารถนำไปใช้จ่ายได้ทั่วโลก ใคร ๆ ก็ยอมรับว่ามันเป็นเงินที่สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้ แถมรัฐบาลก็ไม่สามารถติดตามการใช้จ่ายดังกล่าวได้ด้วย ซึ่งสาเหตุที่เขาไม่ชอบถูกติดตาม ไม่ใช่เพราะเขาปิดบังซ่อนเร้นอะไรอยู่ แต่เป็นเพราะเขาไม่เชื่อใจ ไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย เพราะขนาดแลปท็อปที่มีแต่ข้อมูลลับอยู่ในนั้นของประธาธิบดีไบเด้นยังทำหายกันได้แบบงง ๆ อย่างอื่นไม่เหลือแน่นอน

แล้วเราจะสามารถร่ำรวยจากการเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจกำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้อย่างไรได้บ้าง?

โดยทาง Robert Kiyosaki ได้เคย Tweet บน Twitter เอาไว้ว่า เมื่อปี 2008 ที่เกิดวิกฤตซับไพรส์ นั้น ในวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ล้มระนาวเป็นโดมิโน ที่มีแต่คนพยายามหนีตายด้วยการแย่งกันขายออกไปให้เร็วที่สุด ดังนั้นเมื่อเกิดสภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก ในช่วงปี 2010 ทาง Robert Kiyosaki เขาจึงตัดสินใจกู้เงินจำนวน $300 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 10,000 ล้านบาท เพื่อกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ทำเลทองในราคาที่ถูกเอามาก ๆ ซึ่งในช่วงนี้ใคร ๆ ต่างก็ต้องการเงินสดเข้ามาให้เร็วที่สุด ดังนั้นมันจึงเป็นช่วงที่ต่อรองเพื่อให้ได้ราคาดี ๆ ได้ง่ายขึ้น และพอมาถึงปัจจุบันมันก็เติบโตและมีกำไรอย่างมหาศาล

ดังนั้น ข้อดีของการที่ฟองสบู่แตกก็คือ มันจะมีของ On Sale ให้เลือกซื้ออยู่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด

ซึ่งวิกฤตที่เขาเห็นในรัฐบาลไบเด้นก็คือ พวกเขาได้ทำการ shut down ท่อส่งน้ำมัน Keystone XL pipeline ที่ถูก hacker แฮ็คระบบ จึงส่งผลให้น้ำมันมีราคาที่สูงขึ้น และน้ำมันที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยมีราคาสูงขึ้น ก็ทำให้ราคาปุ๋ยสูงขึ้น การทำการเกษตรก็มีต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาอาหารสูงขึ้น และประชาชนในประเทศก็ไม่มีปัญหาจ่ายค่าอาหารที่สูงขึ้นเหล่านั้นไหว ประชาชนจะลุกฮือขึ้นมาเพราะความอดอยาก จนนำไปสู่การเกิดการปฏิวัติ ตลาดหุ้นพังลง และชาวเบบี้บูมเมอร์ก็ได้รับผลกระทบจากกองทุนเพื่อการเกษียณล้มลง

ในขณะที่การปิดท่อส่งน้ำมันทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น จาก $30/barel พุ่งขึ้นเป็น $130/berel มันกลับทำให้ตัวของ Robert Kiyosaki ร่ำรวยขึ้น เพราะเขาลงทุนในบริษัทผลิตน้ำมัน ดังนั้นจงเป็น Producer คือเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการ ไม่ใช่เป็น Bubble Maker ที่เอาแต่ปริ้นท์เงินออกมาเยอะ ๆ ราคาหุ้นใน stock market สูงขึ้น แล้วก็บอกว่าตนเองนั้นร่ำรวยขึ้น

ดังนั้นอย่าโทษคนรวยเลย แต่จงไปโทษที่รัฐบาลบริหารได้ห่วยแตก ที่กำลังจะทำให้ประชาชนกว่าครึ่งประเทศกำลังจะอดตาย และเมื่อเราหวังพึ่งรัฐบาลไม่ได้ เราก็จำเป็นที่จะต้องดูแลตัวเอง ด้วยการถือครองทรัพย์สินที่เรามีอำนาจในการควบคุมและรักษาทรัพย์ได้ด้วยตัวเอง อย่างเช่นที่เขาชอบลงทุนก็คือ เหมืองทองคำ เหมืองแร่เงิน เหมืองขุดเจาะน้ำมัน ฯลฯ ในฐานะผู้ผลิต

และในสภาวะที่เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ที่ ณ ปัจจุบัน ค่า CPI : Consumer Price Index ในเดือนมิถุนายน ปี 2022 ที่ผ่านนั้น สหรัฐอเมริกา มีค่า CPI สูงถึง 9.1% นั้น ทาง Robert Kiyosaki เขาจึง Tweet บน Twitter ว่า ถ้าค่าเงินเฟ้อสูงขนาดนี้ ก่อนที่จะนำเงินไปลงทุนซื้อทองคำ แร่เงิน หรือบิตคอยน์ เพราะของพวกนั้นเอามากินไม่ได้ เราควรลงทุนด้วยการซื้ออาหารกระป๋อง ทูน่ากระป๋อง น่าจะเป็นการลงทุนที่ดีกว่า เพราะปัญหาเร่งด่วนต่อจากนี้ที่จะเกิดขึ้นก็คือ ของกินของใช้จะแพงขึ้นมากเนื่องมาจากค่าเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 40 ปีของสหรัฐฯ

ก็น่าจะเข้ากับประโยคที่ว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง” ในยุคข้าวยากหมากแพงในยุคนี้

Resources

Exit mobile version