Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

อาชีพแรกสุดของเหล่าบรรดามหาเศรษฐีพันล้าน ทั้ง 5 คน

จากสถิติที่น่าสนใจของ Wealth-x โดยมีการรายงานแหล่งที่มาของความมั่งคั่งของเหล่าบรรดามหาเศรษฐีทั่วโลกในปี 2020 เอาไว้ว่า

  • คนที่ร่ำรวยด้วยการสร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเองจากศูนย์ จำนวน 84.8%
  • คนที่ร่ำรวยด้วยการสร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเองบวกกับจากมรดกตกทอด จำนวน 10.6%
  • และคนที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยการสืบทอดมรดกตกทอดล้วน ๆ อีก 4.7%

จากสถิติจะเห็นได้ว่า มหาเศรษฐีส่วนใหญ่ล้วนแล้วมาจากคนที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยลำแข้งของตนเองแทบทั้งสิ้น และที่สำคัญไปกว่านั้น มหาเศรษฐีอันดับที่ 1 ของโลกคนปัจจุบันอย่าง Jeff Bezos ก็เป็นมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเอง รวมไปถึงอดีตหมายเลขหนึ่งอีกหลาย ๆ คน อย่างเช่น Bill Gates, Warren Buffett ก็เป็นคนที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเองจากศูนย์เช่นเดียวกัน

ทีนี้เราลองย้อนกลับไปดูวันแรก ๆ ของพวกเขากันว่า ก่อนที่พวกเขาจะกลายมาเป็นมหาเศรษฐีนั้น อาชีพแรกสุดของพวกเขาคืออะไรกันบ้าง (โดยข้อมูลความมั่งคั่งสุทธิใช้ข้อมูลของวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2563)

Warren Buffett

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ณ ปี 2020 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $85 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 2.6 ล้านล้านบาท มหาเศรษฐีอันดับที่ 4 ของโลก

อาชีพแรกสุดของเขาคือ เด็กขายหมากฝรั่ง

เขาเริ่มต้นในเส้นทางการเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่อายุ 5 ขวบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็เริ่มต้นจากการเป็นเด็กเดินขายหมากฝรั่ง, น้ำมะนาว โดยเขาเลือกที่จะขายที่หน้าบ้านของเพื่อนเนื่องจากมีคนพุกพล่านมากกว่าบริเวณหน้าบ้านของเขา

และเมื่อตอนเขาอายุ 6 ขวบก็เริ่มขายน้ำโค้ก ซึ่งเขาได้ซื้อในราคาส่งมาจากร้านขายของชำของคุณตาแล้วมาเร่ขายในราคาปลีก โดยได้กำไรขวดละ 5 cent นอกจากนั้น เขายังได้ขายลูกกอล์ฟมือสอง โดยศึกษาว่าลูกกอล์ฟแต่ละแบรนด์นั้นมีมูลค่าไม่เท่ากัน เขาจึงแบ่งขายตามมูลค่าของแบรนด์ เป็นอีกครั้งที่เขาแสดงให้เห็นว่าคุณค่าของสินค้าขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแบรนด์อีกด้วย รวมไปถึงเวลาที่มีการแข่งขันฟุตบอลในมหาวิทยาลัย University of Omaha เขาก็จะนำถั่วและป๊อปคอนไปขายในสนามกีฬาอีกด้วย

ในช่วงวัย 7 ขวบ เขาได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ชื่อว่า “One Thousand Ways to Make $1000” ที่ยกตัวอย่างวิธีการทำเงินกว่าพันวิธี ทำให้เขาได้รับมุมมองการทำรายได้ด้วยวิธีการใหม่ ๆ

จนเขาอายุได้ 11 ขวบ ก็มีเงินเก็บเป็นจำนวน 120 ดอลล่าร์ฯ และเริ่มต้นเข้าสู่วงการการค้าหุ้นเป็นครั้งแรก ด้วยการร่วมลงทุนกับพี่สาวของเขา เพื่อซื้อหุ้น Cities Service โดยเขาสามารถซื้อได้ทั้งหมด 3 หุ้น ในราคา 38.25 ดอลล่าร์ฯ และหลังจากที่เขาซื้อได้ไม่นาน หุ้นก็ตกไปอยู่ที่ 27 ดอลล่าร์ฯ จนกระทั่งราคาหุ้นดีดขึ้นไปที่ 40 ดอลล่าร์ฯ เขาจึงตัดสินใจเทขายหุ้นทั้งหมดไป และหลังจากที่เขาขายหุ้นทั้งหมดไป ก็ปรากฏว่าในเวลาต่อมาไม่นาน หุ้นก็พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 202 ดอลล่าร์ฯ ต่อหุ้น ซึ่งทำให้ Warren Buffet ตกผลึกและเรียนรู้จากการซื้อหุ้นในครั้งนี้ว่า อย่าเห็นแก่กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะถ้าหากเขาถือหุ้นไว้นานมากกว่านี้สักหน่อยเขาก็จะได้กำไรกว่า 492 ดอลลาร์ฯ แทนที่จะเป็น 5 ดอลลาร์ฯ

ตอนอายุ 12 ขวบเข้าได้เริ่มธุรกิจใหม่ที่ชื่อ Stable-Boy Selections กับเพื่อนของเขาโดยเป็นธุรกิจแนะนำเทคนิคและทิปต่าง ๆ สำหรับสนามแข่งม้าแต่ก็ต้องปิดกิจการอย่างรวดเร็วเพราะว่าพวกเขาไม่มีใบอนุญาตนั่นเอง ดังนั้นในช่วงนี้เขาจึงหันไปช่วยคุณปู่ของเขาขายของชำที่ร้าน Buffet & Son ทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์

ตอนอายุ 13 ขวบ เขาก็เริ่มหาเงินด้วยวิธีการส่งหนังสือพิมพ์ของ Washington Post โดยเขาได้ศึกษาเส้นทางการส่งหนังสือพิมพ์จากคู่แข่งโดยตรงอย่าง Times-Herald และใช้เส้นทางเดียวกันกับคู่แข่ง และเขาก็พ่วงการขายนิตยสารเพิ่มเติมกับลูกค้าที่รับหนังสือพิมพ์อีกด้วย ทำให้ในช่วงปีนี้ เขามีรายได้เฉลี่ยสัปดาห์ละ 175 ดอลล่าร์ฯ ซึ่งมีรายได้มากกว่าคุณครูประจำชั้นของเขาเสียอีก

ตอนอายุได้ 14 ขวบ เขาก็ตัดสินใจนำเงินเก็บที่ได้จากการขายหนังสือพิมพ์จำนวน 1,200 เหรียญฯ โดยร่วมลงทุนกับพ่อของเขา เพื่อซื้อที่ดินขนาด 40 เอเคอร์ ที่ Nebraska farmland และจ้างชาวสวนชาวไร่มาทำการเกษตร และนอกจากนั้น เขาก็ยังได้เริ่มธุรกิจใหม่ ๆ เข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็น การขายสแตมป์สำหรับนักสะสม, บริการล้างรถ(เปิดได้เพียงแป๊บเดียวก็ปิดตัวลง) และเป็นแคดดี้บริการแบกถุงกอล์ฟ

ในช่วงปีนี้นี่เอง เขาได้เริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่ทำรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำก็คือ ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ โดยเขาให้ติดต่อขอซื้อตู้เกมพินบอลแบบหยอดเหรียญมือสองมาในราคา 25 ดอลล่าร์ แล้วติดต่อร้านตัดผมในละแวกนั้น เพื่อขอพื้นที่วางตู้พินบอล โดยมีข้อตกลงว่าจะแบ่งกำไร 50/50 ให้กับร้านตัดผม และก่อนที่เขาจะเรียนจบระดับชั้นมัธยม เขาก็ได้ขายกิจการไปในราคา 1,200 ดอลล่าร์ฯ

ชีวิตในช่วงมัธยมของ Warren Buffett นั้น เขาสามารถทำรายได้กว่า 5,000 ดอลล่าร์ฯ หรือถ้าหากตีเป็นค่าเงินในปัจจุบัน ก็จะมีมูลค่ากว่า 55,000 ดอลล่าร์ หรือราว ๆ 1.7 ล้านบาทเลยทีเดียว

Oprah Winfrey

โอปราห์ วินฟรีย์ ณ ปี 2020 เธอมีทรัพย์สินอยู่ที่ $2.6 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 7.8 หมื่นล้านบาท มหาเศรษฐีนีอันดับที่ 20 ของโลก

อาชีพแรกสุดของเธอคือ พนักงานร้านขายของชำ

โอปราห์ วินฟรีย์ คือหญิงแกร่งที่มีอดีตที่ขมขื่น แต่เธอไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาที่คอยกลั่นแกล้งชีวิตของเธอ โดยเธอเริ่มต้นจากการทำงานที่ร้านขายของชำที่อยู่ใกล้ ๆ กับร้านตัดผมของพ่อเธอ และเมื่อเธออายุได้ 16 ปี เธอก็ได้มีโอกาสเข้าทำงานเป็นโฆษกรายการวิทยุ โดยได้รับค่าจ้างสัปดาห์ละ 100 เหรียญฯ แถมเธอยังได้รับรางวัลจากการประกวดกล่าวสุนทรพจน์และเรียนจบด้วยเกียรตินิยม จึงทำให้เธอได้รับทุนการศึกษา เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ที่ Tennessee State University เป็นเวลา 4 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้เธอยกความดีความชอบให้กับพ่อของเธอ ที่ดูแลและปลูกฝังความคิดความอ่านมาเป็นอย่างดี

ในปี 1971 ในระหว่างที่เธอเข้าเรียนปีแรกที่ Tennessee State University เธอได้เข้าเรียนในสาขา Speech Communications and Performing Arts เธอได้มีโอกาสเข้าร่วมขบวนการประกวด Miss Black America และได้รับตำแหน่ง Miss Black Tennessee และ Miss Black Nashville อีกด้วย ซึ่งทำให้ไปเตะตาของสถานีโทรทัศน์ CBS เข้า เธอจึงได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมทำงานที่สถานีวิทยุท้องถิ่น WVOL โดยเธอนั้นได้รับตำแหน่งเป็นผู้ประกาศข่าวหญิงผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา และยังมีอายุน้อยที่สุด ด้วยวัย 19 ปี เท่านั้น 

พอขึ้นชั้นปีที่ 2 ของมหา’ลัย เธอก็ได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวของช่อง Nashville ซึ่งเธอได้กลายเป็นผู้หญิงเชื้อสายอเมริกัน-แอฟริกัน คนแรกที่ได้เข้ารับตำแหน่งนี้

แต่แล้วเธอก็กลับทำมันพังด้วยมือของเธอเอง เมื่อเธอถูกพบว่าใช้สารเสพย์ติดชนิดหนึ่ง จึงถูกทางผู้จัดรายการปลดเธอลงเป็นเพียงพิธีกร แต่เรื่องร้ายก็กลับกลายเป็นดี เมื่อเธอพบว่า เธอสามารถทำหน้าที่พิธีกรได้เป็นอย่างดีและรู้สึกว่ามันสนุกกว่าการเป็นผู้ประกาศข่าวซะอีก

ในปี 1983 เธอได้ย้ายมาตั้งรกรากใหม่ที่เมือง Chicago และได้เข้าทำงานที่ WLS-TV ในรายการ AM Chicago โดยได้ออนแอร์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 มกราคม ปี 1984 และหลังจากนั้นเพียงแค่เดือนเดียว รายการของเธอก็สามารถทำเรทติ้งแซงรายการทอล์คโชว์อันดับหนึ่ง ของชิคาโก ณ ขณะนั้นได้

ทางผู้จัด เห็นแววรุ่งในทันที จึงจับ Oprah เซ็นต์สัญญาเป็นพิธีกรรายการทีวีทอล์คโชว์ โดยได้เปลี่ยนชื่อรายการใหม่ว่า “The Oprah Winfrey Show” ซึ่งออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี 1986 ซึ่งถูกถ่ายทอดไปมากกว่า 120 ช่อง 126 ประเทศทั่วโลก และกลายเป็นรายการที่มีเรทติ้งทีวีสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีวีสหรัฐฯ

Bill Gates

บิล เกตส์ ณ ปี 2020 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $120.1 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 3.6 ล้านล้านบาท มหาเศรษฐีอันดับที่ 2 ของโลก

อาชีพแรกสุดของเขาคือ Computer Programmer

เมื่อตอนที่บิล เกตส์ อายุได้ 15 ปี เขาได้ไปทำงานที่ TRW (Thompson Ramo Wooldridge) ที่เป็นบริษัทเกี่ยวกับยานยนต์ โดยเขาได้เข้าไปทำงานในฐานะ ‘เด็กฝึกงาน’ เพื่อแก้ไขปัญหาบัคคอมพิวเตอร์ ที่ทำให้เครื่องจักรไม่สามารถดำเนินงานได้ ซึ่งประสบการณ์ในครั้งนั้นของ บิล เกตส์ เขาบอกว่า เขากลัวมากที่จะทำมันเพราะมันเป็นงานใหญ่มากสำหรับเขา แต่ในใจเขาก็คิดแค่เพียงว่าจะต้องแก้ไขมันให้ได้ จะต้องทำให้มันกลับมาใช้งานให้ได้อีกครั้ง

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ บิล เกตส์ ที่เริ่มจริงจังกับสายงานด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จนกลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอย่าง Microsoft ที่ส่งผลให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี

โดยในปัจจุบันนี้เขาได้ลงจากตำแหน่ง CEO เพื่อไปลุยในโครงการเพื่อการกุศลในมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ที่ร่วมกันทำกับภรรยาของเขาอย่างเต็มตัว เพื่อพัฒนาด้านการศึกษา ต่อสู้กับความหิวโหยของชาวโลก และพัฒนาวัคซีนเพื่อขจัดโรคร้ายให้กับมวลมนุษยชาติ

Jeff Bezos

เจฟฟ์ เบโซส์ ณ ปี 2020 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $187 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 5.6 ล้านล้านบาท มหาเศรษฐีอันดับที่ 1 ของโลก

อาชีพแรกสุดของเขาคือ เด็กย่างเนื้อที่แมคโดนัลด์

ย้อนกลับเมื่อตอนที่ เจฟฟ์ เบโซส์ นั้นมีอายุได้ 16 ปี เขากำลังกลับเนื้อย่างอยู่ครัวหลังร้านแฟรนไชส์ของ McDonald แห่งหนึ่งในเมือง Miami ซึ่งสิ่งสำคัญที่เขาได้เรียนรู้จากการทำงานในตำแหน่งนี้ก็คือ หากเราเป็นเจ้าของธุรกิจ เราจะต้องส่งของจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อให้รวดเร็วที่สุด โดยที่สินค้าจะต้องไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ ก่อนถึงมือลูกค้า

และหลังจากที่เขาเรียนจบ Jeff Bezos ก็ได้กระโดดเข้า Wall Street แต่ไม่ใช่ในฐานะนักเล่นหุ้น แต่เป็นพนักงานวิเคราะห์แนวโน้มหุ้นด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งในสมัยนั้น ตำแหน่งนี้ เป็นที่ต้องการของบริษัทหุ้นใน Wall Street เป็นอย่างมาก ทำให้หน้าที่การงานของเขานั้นเติบโตแบบก้าวกระโดด

  • ปี 1986 – 1988 ทำงานที่ Fitel
  • ปี 1988 – 1994 ทำงานที่ E.D. Shaw & Co.

และในระหว่างที่เขาทำงานอยู่ที่นี่ เขาก็ได้แต่งงานกับ McKenzie Tuttle ในปี 1993 ซึ่งเธอก็ทำงานที่เดียวกันกับ Jeff ในตำแหน่งนักวิจัยและเป็นผู้ช่วยของ Jeff และทั้งคู่ก็ได้มีลูกด้วยกันทั้งหมด 4 คน

และด้วยความที่ Jeff นั้น ได้ขึ้นเป็นระดับผู้บริหารอย่างรวดเร็ว มีหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่ก็บยังคงชอบความท้าทายใหม่ ๆ ซึ่งเขาได้พบโอกาสพบกับโลกใหม่อย่างโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่ง ณ ตอนนั้น ยังคงใช้ในวงจำกัดมาก ๆ ซึ่งใช้ในการทหารซะส่วนใหญ่

จนกระทั่งในปี 1994 Jeff ได้เห็นแนวโน้มว่า มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตพุ่งขึ้นสูงกว่า 2300% ภายในปีเดียว แถมในสมัยนั้น ยังมีร้านค้าออนไลน์น้อยมาก Jeff จึงตัดสินใจหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งเขาได้เลือกตลาดหนังสือเป็นตัวเลือกแรก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ติดอันดับ Top 20 ที่มีคนสั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์สูงที่สุด

และนอกจากนั้น Jeff ยังได้เห็นช่องว่างทางการค้าของวงการขายหนังสือของเจ้าใหญ่ ๆ นั่นก็คือ ข้อมูลหนังสือของเจ้าใหญ่ ๆ นั้น ไม่มีเจ้าใดเลยที่เปิดให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานทั่วไป เข้ามาค้นหาหนังสือว่ามีของอยู่ในสต็อคหรือไม่ และราคาหนังสือเท่าไหร่ เพราะบริษัทส่วนใหญ่จะเก็บข้อมูลไว้กับตัวเองเพียงอย่างเดียว รวมไปถึงข้อจำกัดของร้านหนังสือก็คือ สามารถบรรจุหนังสือได้จำกัด แต่ในขณะที่บนเว็บไซต์ จะใส่ข้อมูลหนังสือกี่เล่มก็ได้ ไม่มีจำกัด และสามารถอ่านหน้าตัวอย่างก่อนซื้อได้อีกด้วย

และด้วยความมุ่งมั่นของ Jeff Bezos ที่ต้องการกระโดดเข้าสู่ตลาดการขายหนังสือออนไลน์อย่างแรงกล้า เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานที่มั่นคง พร้อมกับย้ายครอบครัว พาลูกเมียไปเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ที่เมือง Seattle

เว็บไซต์ Amazon.com ที่ได้แรงบันดาลใจจากชื่อแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในโลก จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1995 โดยมีจุดประสงค์หลักคือ ต้องการเป็นร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้จงได้

Elon Musk

อีลอน มัสก์ ณ ปี 2020 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $144.7 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 4.4 ล้านล้านบาท มหาเศรษฐีอันดับที่ 31 ของโลก (และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หุ้น Tesla พุ่งสูงขึ้น จนทำให้เขาเคยเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 2 ของโลกมาได้แล้วด้วย)

อาชีพแรกสุดของเขาคือ Software engineer

ตอนที่เขาอายุได้ 9 ขวบ เขาได้รับของขวัญเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในชีวิตนั่นก็คือ Commodore VIC-20 และตั้งแต่นั้นมา เขาก็เริ่มให้ความสนใจในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์และเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง และตอนที่เขาอายุได้ 12 ขวบ ก็สามารถเขียนเกมขึ้นมาเล่นเองที่ชื่อ Blaster และได้ขายให้กับ PC and Office Technology magazine ซึ่งสามารถขายได้ในราคา 500 เหรียญฯ (ราว ๆ 15,000 บาท)

ต่อมาในปี 1995 ตอนที่ Elon Musk อายุได้ 24 ปี ได้เข้าศึกษาที่ Stanford University แต่ก็เรียนไปได้แค่ 2 วัน เขาก็ลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วไปเริ่มต้นธุรกิจกับน้องชายแท้ ๆ ของเขาที่ชื่อ Kimbal Musk เพื่อเริ่มต้นต้นธุรกิจอินเตอร์เน็ตที่ชื่อว่า Zip2 ซึ่งเป็นบริษัทที่รวบรวมข้อมูลของหนังสือพิมพ์เจ้าต่าง ๆ (คล้าย ๆ กับสมุดหน้าเหลือง) อย่าง The New York Times และ Chicago Tribune โดยพวกเขาได้รับเงินทุนจำนวนก้อนหนึ่งจาก Angel Investor หรือนักลงทุนอิสระ

จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999 บริษัท AltaVista(ซึ่งในปัจจุบันได้ถูก Compaq ซื้อกิจการไป) ซึ่งเป็น Serch Engine ยักษ์ใหญ่ ณ ขณะนั้น ได้ทำการติดต่อและเข้าซื้อกิจการของ Zip2 โดยจ่ายด้วยเงินสดจำนวน 307 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 9,500 ล้านบาท) และอยู่ในรูปของหุ้นอีก 34 ล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 1,000 ล้านบาท) รวม ๆ แล้ว Zip2 สามารถทำเงินได้กว่าหมื่นล้านบาท ซึ่ง Elon Musk มีหุ้นส่วนในบริษัทอยู่ 7 เปอร์เซ็นต์ เขาจึงได้รับส่วนแบ่งประมาณ 22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 680 ล้านบาท

ต่อมาในเดือนมีนาคม ปี 1999 นี้นี่เอง เขาก็ได้เริ่มต้นธุรกิจที่ชื่อว่า X.com ซึ่งเป็นระบบการรับชำระเงินบนอินเตอร์เน็ต ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง จนกระทั่งในเดือนมีนาคม ปี 2000 เขาก็ได้ควบรวมกิจการเข้ากับคู่แข่งอย่าง Confinity ซึ่งขับเคลื่อนโดย Peter Theil แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Paypal โดย Elon Musk นั้นดำรงในตำแหน่งประธานบริษัทและ CEO ของ Paypal

และในระหว่างที่กำลังฟอร์มทีมงานใหม่หลังควบรวมกิจการ Elon Musk ก็มักมีปัญหากับ Max Levchin ที่เป็น CTO ของบริษัทในเรื่องของการวางระบบเซิร์ฟเวอร์ เขาจึงลาไปพักร้อนที่ประเทศออสเตรเลียชั่วคราว ทางกรรมการบอร์ดบริหาร จึงฉวยโอกาสนี้ในการปลด Elon Musk ออกจากตำแหน่ง CEO แล้วตั้งตั้งให้ Peter Thiel ขึ้นเป็น CEO แทน แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเติบโตของบริษัท แต่กลับเติบโตอย่างรวดเร็ว แถม Elon Musk ยังลงทุนเพิ่มใน Paypal อีกด้วย จนกระทั่งในปี 2002 eBay ก็เข้าซื้อกิจการ Paypal ไปในราคา 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 46,500 ล้านบาท) โดย Elon Musk ได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวน 180 ล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 5,500 ล้านบาท)

โดย Elon Musk ได้นำเงินที่ได้จากการขาย Paypal ไปแบ่งลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ดังนี้

  • ลงทุนใน Tesla Motors : $70 M
  • ลงทุนใน SolarCity : $10 M
  • ลงทุนใน SpaceX : $100 M

หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เขาทุ่มเงินหมดหน้าตัก เพื่อโปรเจคในการปูทางไปสู่การนำชาวโลกไปตั้งรกรากที่ดาวอังคารให้จงได้

Resources