Financial Freedom หรือแปลเป็นไทยก็คือ การมีอิสรภาพทางการเงิน ที่ใครหลาย ๆ คนก็คงจะคุ้นชินกับคำ ๆ นี้ที่มักจะได้ยินอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเอาเข้าจริงความหมายของคำนี้นั้น หลายคนเข้าใจผิดว่า มันคือการที่เราต้องรวยขั้นเทพ มีเงินเป็นร้อยล้าน พันล้าน ถึงจะมีอิรภาพทางการเงินได้
- 7 ขั้นตอนปลดหนี้ สั่งสมความมั่งคั่ง มีกินมีใช้ในยามเกษียณ by Dave Ramsey | Money Back to Basic EP.10
ทั้งที่จริงนั้น ความหมายของคำว่า Financial Freedom นั้นเรียบง่ายกว่านั้นมาก โดยความหมายนั้นก็คือ การที่เรามีรายได้ที่มาจากสินทรัพย์ที่เราไม่ต้องลงไปทำงานอยู่ตลอดเวลามากเกินกว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสมมติว่าในแต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 30,000 บาท โดยเรามีสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้อยู่สม่ำเสมอ เช่น คอนโดให้เช่า ค่าลิขสิทธิ์หนังสือรูปเล่ม อีบุ๊ค ปันผลจากหุ้น คอร์สออนไลน์ ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย วีดีโอบนยูทูป รวม ๆ แล้วสามารถสร้างรายได้ให้เราต่อเดือนเพียงพอที่จะไปจ่ายค่าใช้จ่ายได้เพียงพอกับ 30,000 บาท เท่านี้ก็ถือว่า เรามีอิสรภาพทางการเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่หลายคนก็อาจจะเข้าใจผิดอีกว่า คำว่า Asset หรือสินทรัพย์ หรือรายได้ที่ได้มาแบบ Passive Income นั้น คือการที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรใด ๆ เลย นั่นถือว่าเป็นเรื่องไม่จริง ยกตัวอย่างเช่น การให้เช่าอสังหาฯ นั้น อันดับแรกเราก็จะต้องหาความรู้ หาทำเล และหาเงินทุนเพื่อไว้วางเงินดาวน์กับธนาคาร สร้างเครดิตให้มีความน่าเชื่อถือเพื่อให้ธนาคารปล่อยกู้ พอได้มาแล้วก็ต้องมีการตกแต่งห้องให้น่าอยู่ พร้อมกับวิธีในการหาลูกค้าให้มาเช่าห้อง ถ้าเจอลูกค้าแย่จะจัดการยังไง ถ้าไม่มีลูกค้ามาเช่าแล้วจะต้องทำยังไง บลาๆๆ
ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีงานเยอะแยะให้ทำเต็มไปหมด แต่สิ่งที่แตกต่างจาก Active Income นั้นก็คือ พอห้องเช่ามันได้มาแล้วอยู่ตัว เราไม่ต้องเอาเวลาและแรงของเราไปแลกเพื่อให้ได้เงินมาโดยตรง เพราะเมื่อทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำในช่วงเริ่มต้นทำได้เพียบพร้อมแล้ว ที่เหลือเจ้าสินทรัพย์มันสามารถหาเงินได้ด้วยตัวมันเอง เราไม่ต้องออกแรง แต่สินทรัพย์มันออกแรงหาเงินให้ นั่นเท่ากับว่า เราไม่ต้องอยู่เฝ้าคอนโด คอนโดมันก็หาตังค์ให้เราได้
ไม่เหมือนกับการทำงานปกติ ที่หากเราไม่ไปทำงาน เราก็ไม่ได้ค่าตอบแทน เช่นเดียวกันกับสินทรัพย์อื่น ๆ ที่เมื่อเราทุ่มเทงานที่จำเป็นตั้งแต่แรกไปแล้ว เราก็ไม่ต้องออกแรงโดยตรงมันก็สามารถหาเงินได้ด้วยตัวมันเอง ยกตัวอย่างสินทรัพย์ประเภทดิจิตอล อย่างอีบุ๊ค ไม่ก็คอร์สออนไลน์ ที่ออกแรงทำให้เสร็จครั้งแรกครั้งเดียว ที่เหลือก็โปรโมท ทำการตลาดให้มัน จากนั้นมันก็สามารถสร้างเงินให้เราได้เรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ต้องไปออกแรงทำมันใหม่อีก
กลับมาที่ Uncle G หรือลุง Grant Cardone ของเรากันต่อ โดยลุงแกบอกเอาไว้ว่า ถ้าหากคุณอยากมีอิสรภาพทางการเงินแบบชัวร์ ๆ แบบการันตีไม่มั่วนิ่ม รวยแน่นอน ถ้าหากคุณทำข้อนี้ได้นั่นก็คือ 40% RULE กฎ 40 เปอร์เซ็นต์ โดยความหมายของมันก็คือ หากคุณสามารถกันเงินจำนวน 40% ของรายได้ที่คุณหามาได้ทั้งหมด กันเอาไว้เพื่อนำไปลงทุนโดยเฉพาะ เป็นอับดับแรกก่อนที่คุณจะนำเงินไปซื้อของอะไรต่อมิอะไร
ซึ่งเมื่อคุณกันเงินออกไปแล้ว เงินในกระเป๋าของคุณจะเหลืออีก 60% ซึ่งมันจะเป็นตัวกำหนดเพดานค่าใช้จ่ายของคุณทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อย่างค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าส่งลูกเรียนหนังสือ ค่าท่องเที่ยว ค่าปาร์ตี้สังสรรค์ รวมไปถึงค่าภาษีที่คุณต้องจ่าย หน้าที่ของคุณที่สำคัญมีอยู่สองสิ่งนั่นก็คือ
- หางาน หารายได้ที่ให้เงินมากพอ ที่จะทำให้คุณ สามารถเลี้ยงชีพอยู่ได้แบบไม่เดือดร้อน แม้ว่าคุณจะหักเงิน 40% เพื่อไปลงทุนแล้วก็ตามที
- ควบคุมรายจ่ายทั้งหมดอย่าให้เกิน 60% ของรายได้ที่หามาได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่เวลาที่มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ก็มักจะอัพเกรดไลฟ์สไตล์ให้สูงขึ้นตามไปด้วย นั่นเท่ากับว่า ยิ่งหามาได้เยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้เยอะมากขึ้นเท่านั้น ไม่พอใช้ ไม่มีเงินเก็บสักกะที
และเมื่อเป็นเช่นนี้ เงินที่คุณกันไว้เพื่อลงทุนโดยเฉพาะนั้น มันก็จะมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง Grant Cardone การันตีไว้เลยว่า หากใครก็ตามที่ทำตามกฏนี้ได้ รวยทุกคน Good Luck
Resources