และแล้วก็มาถึง Episode สุดท้ายในซีรี่ย์นี้ ซึ่งเนื้อหาในตอนนี้จะพูดถึงเรื่องมุมมองในการลงทุนในฐานะนักลงทุน ที่เป็นมุมมองจาก Anthony Pompliano ว่าเขามีมุมมองในการลงทุน Bitcoin อย่างไร
Pomp บอกว่าเมื่อตอนที่เขายังอายุน้อยและมีประสบการณ์น้อยในวงการการลงทุน เขามักจะชอบทำตัวเป็น Market Predictor คือชอบวิเคราะห์ในเชิงการทำนายว่า ในอนาคตมันจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถ้าเกิด A B C อาจจะส่งผลให้เกิด D E F ซึ่งบางครั้งก็ถูก และเมื่อทำนายถูกเขาก็มักจะเกิดความมั่นใจในตนเองมากจนเกินไป มีความเหย่อหยิ่งในตนเองว่า ฉันเก่ง ฉันเจ๋ง ฉันแน่ และแน่นอนแหละว่าในบางครั้งก็ทำนายไม่ถูก จนกระทั่งเขาเติบโตขึ้นและมีประสบการณ์ในการลงทุนมากยิ่งขึ้นก็ทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองจากการที่เป็น Market Predictor มาเป็น Market Observer คือผู้เฝ้าสังเกตุการณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะแน่นอนแหละว่าแต่ละคนมักมีความคิดเห็นเป็นของตนเองที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งไม่ว่าคุณจะคิดว่า Bitcoin คือสิ่งมีค่าหรือไร้ค่านั้น ความคิดเห็นของคุณก็ไม่ได้มีผลอะไรกับตลาด เพราะสุดท้ายตลาดจะเป็นตัวตัดสินเองว่าสิ่งนั้นมันมีค่าเท่าไหร่ หรือไม่ อย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น ถ้า Pomp เขาเจอคนที่บอกว่าไม่เห็นว่า Bitcoin มันจะมีค่าอะไรตรงไหนเลย Pomp นั้นสามารถนั่งอธิบายให้กับคนเหล่านั้นฟังได้ทั้งวันว่า เพราะเหตุใด Bitcoin ถึงมีค่า ไม่ว่าจะเป็น
- Bitcoin มันมี Market Cap มากกว่า $1 Trillion
- มีผู้คนถือครอง Bitcoin ทั่วโลกกว่าร้อยล้านคน
- มีการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin อย่างมหาศาล
- มันคือ Money Network หรือเครือข่ายการเงินที่ทรงพลัง บลา ๆๆๆ
ซึ่งโอเคแหละว่าพออธิบายไปดังนี้ ก็จะมีคนบอกอยู่ดีแหละว่า แล้วไง? มันก็อาจจะมีค่าหรือไม่มีค่าก็ได้ แต่สิ่งที่ Pomp พยายามจะสื่อก็คือ มันไม่สำคัญว่าใครจะบอกว่ายังไง แต่มันสำคัญตรงที่ว่าในตลาดมันเกิดอะไรขึ้นต่างหาก และตลาดก็เป็นตัวตัดสินว่า Bitcoin นั้นมีค่าขึ้นมา
ซึ่งก็โอเคแหละว่า การเป็น Market Predictor นั้นหากคาดการณ์ได้ถูกก็มีโอกาสที่จะสามารถเก็งกำไรในตลาดนั้น ๆ ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นคนเราสามารถคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้แย่เอามาก ๆ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ส่วนใหญ่ทายไม่แม่น และอนาคตเป็นที่สิ่งมนุษย์เรานั้นไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ Tom Bilyeu ก็แย้งขึ้นมาว่า ในบางครั้งอย่างตัวของเขาเองก็ต้องเป็น Market Predictor ที่มักจะคาดการณ์ว่า ถ้าหากเกิด ABC แล้วควรจะทำ DEF แต่หากไม่เกิดก็จะได้หากลยุทธ์อื่นเข้ามาปรับใช้แทน
ซึ่ง Pomp ก็ได้อธิบายว่า นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณเป็นนักลงทุนประเภทใด เพราะนักลงทุนแต่ละคนมีสไตล์การลงทุนที่ไม่เหมือนกัน
โดยเขาได้ยกตัวอย่างจากการที่เขามีประสบการณ์ในการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพในช่วง Seed Round หรือช่วงตั้งไข่เริ่มแรกนั้น โดยในตอนแรกเขาได้ทำตัวเป็น Market Predictor พฤติกรรมของเขาจะเป็นประมาณว่า ฉันคิดว่าสิ่งนี้น่าจะฮอตฮิตในอนาคต ถ้าเกิดสิ่งนี้ บริษัทนี้น่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นเมื่อฉันได้มาเจอกับบริษัทนี้ ฉันก็คิดว่าเป็นบริษัทที่น่าลงทุน ซึ่งจากประโยคดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มีแต่ ฉันคิด… ฉันคิด… ฉันคิด… ซึ่งมันเป็นการทำนายและคาดการณ์กับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และผลัพธ์ที่ได้ก็คือ ความคิดบางอย่างก็ใช้ได้และบางอย่างก็ใช้ไม่ได้
แต่พอวันเวลาผ่านไป เมื่อเขามีประสบการณ์ในวงการการลงทุนมากยิ่งขึ้น และเขาลองทำตัวเองให้เห็น Market Observer ทำตัวเองให้ผู้เฝ้าสังเกตุการณ์ พฤติกรรมของเขาเมื่อมองมาที่ Bitcoin ก็เกิดมุมมองใหม่ ๆ ประมาณว่า คนกลุ่มนี้พวกเขาฉลาดแค่ไหน เก่งขนาดไหน พวกเขาแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ พวกเขามีแนวความคิดที่แจ่มแจ้งจัดเชนหรือไม่อย่างไร พวกเขามีแรงกระตุ้นอะไรที่นำพาไปสู่จุดหมาย
ซึ่งไม่ว่าตัวของ Pomp จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือจะคิดอย่างไรมันก็ไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่ว่า มีผู้คนเข้ามาใช้งาน Bitcoin อย่างมหาศาล นั่นตลาดก็สามารถบอกออกมาเองแล้วว่ามันเวิร์ค ดังนั้นการลงทุนด้วยแนวความคิดของการเป็น Market Observer จะทำให้ตัวเรานั้นเลิกนิสัยในการคาดการณ์ การคาดเดากับอนาคต เดาว่ามันอาจจะเป็นตลาดกระทิงขาขึ้น หรือเดาว่ามันจะเป็นตลาดหมีขาลง หรืออาจเดาว่ามันเป็นตลาด Sideway ที่ราคานิ่ง ๆ ไม่ขยับไปไหน
ดังนั้นพอเขาเริ่มสังเกตุการณ์แล้วก็จะพบว่ามีการรวมตัวของผู้คนทั่วโลกนับล้านคนกำลังเข้ามาสู่ตลาด Bitcoin เขาเฝ้าดูเทรนด์ว่าตลาดกำลังเทเม็ดเงินมาที่นี่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ความคิดเห็นของเขาที่เคยคาดการณ์ว่าอนาคตจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ได้มีใครสนใจและไม่ได้มีผลอะไรกับตลาดเลย
ยกตัวอย่างอีกสักตัวอย่างจากกรณีของ Airbnb ที่เป็นผู้ให้บริการเช่าห้องพัก ซึ่งคุณลองนึกภาพตามดูว่า ในตอนแรกสุดพวกเขาโคตรจะโนเนมแล้วจู่ ๆ หากพวกเขาเข้ามานำเสนอโปรเจคว่าพวกเขากำลังจะเปิดบริษัทที่มีแนวคิดว่าใครก็ตามที่มีบ้านเป็นของตัวเอง สามารถเอาเตียงเป่าลมมาวางไว้ในห้องครัวแล้วเดี๋ยวก็จะมีคนมาขอเช่านอนเอง และทั่วโลกก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงมันยังไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแบบนั้นเลย แถมเป็นความคิดที่บ้าสุด ๆ เพราะใครที่ไหนจะยอมจ่ายเงินเพื่อมาเช่าที่หลับนอนในห้องครัวที่เป็นเตียงแบบเป่าลมอีกต่างหาก นี่คือสิ่งที่ Market Predictor เป็น
แต่ในขณะที่ Market Observer นั้น พวกเขาสังเกตจากสิ่งที่เกิดขึ้น โดย ณ ตอนนั้นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Airbnb อย่าง Brian Chesky มีไอเดียเริ่มต้นมาจากตัวของ Brian และ Joe Gebbia ที่เป็นรูมเมท ประสบปัญหาด้านการเงินมาจ่ายค่าเช่าห้อง ก็เลยอยากหารายได้พิเศษ ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงนั้นในเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่มีการจัดประชุมใหญ่ ทำให้โรงแรมที่พักในแถบนั้นถูกจับจองเต็มหมด ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมประชุมบางส่วนไม่มีที่พัก Joe จึงปิ๊งไอเดีย ในการเปิดห้องพักของตนเอง โดยในห้องพักจะให้บริการเตียงลม 3 ตัวพร้อมอาหารเช้าให้แขกที่เข้ามาพักในคืนแรกซึ่งโจก็ได้ส่งอีเมลหาไบรอันเพื่อนำเสนอไอเดียนี้ โดยโจได้บอกกับไบรอันว่ามันน่าจะพอทำเงินให้พวกเขาได้บ้าง ไบรอันและโจคิดค่าเช่าเพียง 80 เหรียญฯ ต่อคน สำหรับการเปิดห้องพักให้เช่าในครั้งแรก ซึ่งสิ่งที่พวกเขาคาดหวังก็เป็นจริง เมื่อมีผู้เช่า 3 รายแรกติดต่อเข้ามาพัก ทำให้สองหนุ่มไม่ต้องออกจากห้องพักไปนอนในกล่องกระดาษลังข้างถนน
ดังนั้นหากมองในมุมของ Market Observer ก็จะเริ่มตั้งคำถามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วว่า ทำไมผู้คนถึงยอมจ่ายกับสิ่งนี้ มันน่าสนใจดีแฮะ และก็อาจจะตั้งคำถามกับผู้ที่เข้าพักว่า พวกเขาจะพักกี่วันและทำแบบนี้กับที่อื่น ๆ อีกหรือไม่ อย่างไร ซึ่งคุณจะสังเกตได้ว่า การถามคำถามจะเปลี่ยนไป จากการเดานั่นเดานี่ไปเป็นมันเกิดแบบนั้นเกิดแบบนี้ เทรนด์มันไปในทางนี้ โลกมันไปในทางนี้มากยิ่งขึ้น
ต่อมา Pomp เขามองว่า Bitcoin เปรียบได้กับ Digital Gold หรือทองคำในรูปของดิจิตอล ซึ่งที่ผ่านมาเราจะสังเกตได้ว่า Asset ใดก็ตามที่เปลี่ยนถ่ายจากโลกออฟไลน์มายังโลกออนไลน์แล้วจะพบว่า ในเวอร์ชั่นออนไลน์มันสามารถแผ่ขยายตลาดได้กว้างใหญ่กว่าในเวอร์ชั่นออฟไลน์เป็นอย่างมาก และเช่นเดียวกัน ตลาดทองคำตอนนี้มีมูลค่าราว ๆ $10 Trillion และตลาด Bitcoin มีมูลค่าราว ๆ $1 Trillion ดังนั้นหาก Bitcoin คือทองคำดิจิตอล เทรนด์ของมันจะต้องแผ่ขยายได้ไม่น้อยกว่าตลาดของทองคำอย่างแน่นอน
นั่นก็มีสาเหตุอยู่หลายอย่างที่ทำให้ Bitcoin นั้นดูเจ๋งกว่าทองคำ
อย่างแรกคือ มันมีความเป็นดิจิตอล อะไรก็ตามในโลกยุคปัจจุบันที่มันสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ โดย Bitcoin นั้น ใครก็ตามที่สามารถเข้าเว็บไซต์แล้ว sign in ลงชื่อเข้าใช้งานได้ ก็สามารถเริ่มต้นทำธุรกรรมได้ในทันที มันคือข้อได้เปรียบในการเข้าถึงได้ง่ายกว่าทองคำทั่วไป
อย่างที่สองคือ มันสามารถซื้อทีละเล็กทีละน้อยได้ เพราะตอนนี้ราคา 1 BTC ก็ประมาณ $50,000 ตีเป็นเงินไทยก็ล้านกว่าบาท ซึ่งข้อดีของ Bitcoin ก็คือ มันสามารถแบ่งหน่วยย่อยได้ถึง 8 หน่วย โดยหน่วยย่อยนั้นจะมีชื่อเรียกว่า satoshi ที่ตั้งตามชื่อนามแฝงของผู้ก่อตั้ง Bitcoin นามว่า Satoshi Nakamoto โดย 1 BTC = 100,000,000 Satoshi(sat) ซึ่งอย่างกระดานเทรด Exchange ในไทยอย่าง Bitkub ก็สามารถใช้เงินเริ่มต้นที่ 10 บาท ก็สามารถซื้อ bitcoin ได้แล้ว หรืออย่างต่างประเทศบน Binance ก็ขั้นต่ำเริ่มต้นที่ $10 เป็นต้น ในขณะที่ทองคำนั้น แบ่งแยกย่อยได้ยาก ที่นิยมขั้นต่ำก็ต้องมีสัก 1 สลึงขึ้นไป ก็ตกหลายพันบาทจึงจะเริ่มต้นซื้อทองคำได้
อย่างที่สาม bitcoin นั้นสามารถพกพาได้ง่าย เขาสามารถพกมันติดตัวไปได้ตลอดผ่าน smartphone, laptop หรือ hardware wallet หรือแม้กระทั่งหากคุณแค่จำรหัสผ่านได้ก็ไม่ต้องพกอะไรไปก็ยังได้ ในขณะที่ทองคำนั้นต้องเพิ่มระดับในการรักษาความปลอดภัยที่สูงมากยิ่งขึ้นเมื่อมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่าอะไรก็ตามในเวอร์ชั่น digital มันมักจะดีกว่าในเวอร์ชั่น physical
ซึ่งไม่ว่าคุณเลือกที่จะเป็นนักลงทุนสไตล์ไหน ก็จงคุยกับตนเองให้เคลียร์ ว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในโหมดสะสมความมั่งคั่ง โหมดทำกำไรหรือโหมดปกป้องความมั่งคั่ง ซึ่งส่วนตัวของ Pomp นั้น เขาเป็นนักลงทุนประเภทที่ไม่ชอบมีความเสี่ยงสูง เพราะตอนนี้เขาก็มีความมั่งคั่งในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นเป้าหมายของเขาไม่ใช่การทำกำไรสูงสุด แต่เป็นการลงทุนเพื่อปกป้องความมั่งคั่งมากกว่า
โดย Pomp จะมีหลักการในการลงทุนของเขาอยู่ด้วยกัน 5 ข้อก็คือ
- ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่หามาได้
- กำจัดหนี้เสียให้หมด
- นำเงินสดที่เหลือมาลงทุนใน Asset ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินใดก็ขอให้เริ่มต้นลงทุน
- มีความอดทนอดกลั้น สามารถรอคอยความสำเร็จได้
- มีวินัยในการลงทุน
เพราะการถือเงินสดเอาไว้นั้น นับวันมันมีแต่จะลดมูลค่าลง ในขณะที่ Asset กลับมีราคาที่สูงขึ้นอยู่ตลอด
ส่วนตลาด NFT นั้น ส่วนตัวของ Pomp เขาก็เคยลงทุนเมื่อช่วงแรก ๆ ในการมาของมัน แต่เขาก็พบว่ามันมีความเสี่ยงสูงมาก ไม่เหมาะกับสไตล์การลงทุนของเขาเลย และเขาพบว่าจำนวน Supply ของ Bitcoin นั้นมันถูกจำกัดให้มีแค่เพียง 21 ล้านเหรียญ BTC เท่านั้น แต่ในขณะที่ NFT มันสามารถเสกออกมาจากอากาศได้ เช่น หากคุณอยากได้เหรียญ crypto ก็ให้คุณลองสร้างงานศิลปะขึ้นมาสักชิ้นหนึ่งแล้วประกาศขาย ถ้าคุณขายได้ นั่นก็หมายถึงคุณจะได้รับเหรียญ crypto มานั่นเอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามันเสกเงินจากอากาศได้ โอเคแหละว่าในมุมของผู้สร้างหรือ Creator งานศิลปะจะได้เปรียบที่หากมีความสามารถก็สามารถใช้จินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงานออกมาขายได้ แต่ในฝั่งของนักลงทุนแล้วนั้น การที่อะไรที่มันเสกขึ้นมาได้อย่างไม่มีจำกัดนั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะอะไรก็ตามที่มันมีมากเกินไป มันจะถูกลดทอนคุณค่าลง แถมการที่ NFT บางชิ้นมีมูลค่าสูงจนน่าตกใจ ชิ้นนึงหลายล้านบาทแต่กลับตีมูลค่าที่แท้จริงได้ยากมาก ว่าเพราะเหตุใดงานชิ้นนั้นจึงมีมูลค่าสูง
ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะตีมูลค่าหุ้นได้ง่ายกว่า โดยมักจะดูจากผลประกอบการของบริษัท กำไรที่บริษัทสามารถทำได้ ราคาหุ้นก็ขึ้นตามมูลค่านั้น เป็นต้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินแบบใดก็ตาม คีย์สำคัญในการลงทุนของ Pomp ก็คือการที่เราถือครองทรัพย์สินนั้นเอาไว้เป็นของเราเอง โดยทรัพย์สินดังกล่าวจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนผู้ที่เข้าร่วมใน Network นั้น ๆ เช่น การถือครองธุรกิจที่สามารถผลิตกระแสเงินสดเข้ามาได้, หากเป็นวงการ NFT ก็ถือครองชิ้นงานสักชิ้น, หากเป็นอสังหาริมทรัพย์ก็ถือครองที่ดิน หรือหากเป็นระบบการเงินก็ถือครอง Bitcoin ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะลงใน Asset ใดก็ตามที มันก็จะมีหลักการและกลไกที่เหมือน ๆ กัน
และในฐานะที่ Pomp เขาเลือกที่จะเป็นนักลงทุนแบบ Market Oberserver ที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์นั้นเขาก็มองเห็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นกับ Bitcoin โดยเขาไม่ได้สนใจมากนักว่าราคาของมันจะขึ้นหรือจะลงเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ผู้คนทั่วโลกกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้แล้วมันก็เติบโตขึ้น ดังนั้นข้อคิดของคนที่จะเป็น Market Observer ก็คือ การเอาคำว่าคาดเดาว่าอนาคตจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ออกไป แล้วให้สังเกตการณ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน
โดยสิ่งที่ทำให้ Pomp ตัดสินใจที่จะเลือกลงทุนใน Bitcoin นั้นก็เป็นเพราะ การมา Bitcoin ทำให้เกิดการปฏิวัติวงการเดิม ๆ อยู่สองเรื่องก็คือ
- ปฏิวัติวงการการเงิน – ที่มันชนะการเงินในรูปแบบเดิม ๆ ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ มีอิสระในการควบคุมการเงินได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอหรือขออนุญาตจากใคร และเพิ่มอำนาจอธิปไตยทางเงินในระดับปัจเจคบุคคลสำหรับผู้ที่ครอง bitcoin ซึ่งมันใช้เวลา 10 กว่าปีนิด ๆ ในการสร้างตลาดที่มีมูลค่ากว่า $1 Trillion เขาจึงตัดสินใจจากสิ่งที่เห็นว่า โอเคมันน่าสนใจดี ถ้าเช่นนั้นเขาก็ต้องการที่จะเป็นเจ้าของมัน นั่นคือการตัดสินใจโดยส่วนตัวของเขา
- ปฏิวัติวงการดิจิตอล – การมาของ bitcoin มันมาในรูปแบบดิจิตอล ที่มันไม่ได้มาปฏิวัติเฉพาะแค่วงการการเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในวงการอื่น ๆ อีกเยอะแยะมากมาย
และอีกเหตุผลที่ Pomp เขาเลือกที่จะลงทุนใน Bitcoin เป็นหลักนั้นก็เพราะ เขาต้องการศึกษาและเรียนรู้แบบลงลึก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องโฟกัสอย่างใดอย่างหนึ่ง และเมื่อเขาศึกษาเกี่ยวกับ bitcoin มากยิ่งขึ้น มันทำให้เขามีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ฉลาดมากยิ่งขึ้น มีสติปัญญามากยิ่งขึ้น เพราะการเรียนรู้ในบิตคอยน์ที่ดีนั้น คุณก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ในเรื่องของการเงิน เรื่องของเศรษศาสตร์ และเรื่องของเทคโนโลยี
และเช่นกัน เมื่อในอดีตที่เหล่าบรรดาสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ รวมไปถึงห้างร้านบริษัทต่าง ๆ ยังไม่ได้กระโดดเข้ามาในตลาด bitcoin นั้นก็เป็นเพราะ พวกเขายังไม่ได้ศึกษามันมากพอ แต่ในปัจจุบันเมื่อพวกเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับ bitcoin มากขึ้น ก็ทำให้เริ่มมีสถาบันการเงินและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มเข้ามาลงทุนใน bitcoin เพราะอย่าลืมว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นนักลงทุนที่เก่งกาจ พวกเขาจึงต้องศึกษามาเป็นอย่างดี แล้วจึงค่อยตัดสินใจมาลงทุน ดังนั้นความรู้เป็นเรื่องที่สำคัญ
แต่ผู้คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้เข้ามาในตลาดนี้นั้นก็เป็นเพราะ ส่วนใหญ่ยังไม่เคยได้สัมผัสในเรื่องของการลงทุน ข้อมูลที่จะนำโลกการเงินแบบเดิม ๆ มาเปรียบเทียบกับโลกการเงินของบิตคอยน์นั้น ก็ยิ่งมีข้อมูลน้อยเข้าไปใหญ่ อย่าว่าแต่เรื่องการลงทุนเลย เรื่องของการเงินส่วนบุคคลทั่วไป ยังมีกลุ่มคนน้อยมากที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันควรเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรเชี่ยวชาญซะด้วยซ้ำ
ซึ่งเมื่อ Pomp เขาลองดูตัวเลข Perfomance ที่ผ่านมาของ bitcoin เขาก็พบว่า ตลอดสิบปีที่ผ่านมา bitcoin ให้ผลตอบแทนแแบบ Compound Interest หรือแบบดอกทบต้นเฉลี่ยเกือบ ๆ 200% ต่อปี เขาก็เริ่มมองแล้วว่ามันน่าสนใจ แล้วเขาก็ถามกับตนเองต่อว่าจะถือ bitcoin ไปจนถึงเมื่อไหร่ ซึ่งเขาก็จะถือมันไปจนถึงส่งมอบให้รุ่นลูกรุ่นหลานหรือนับอีกร้อยปีนับจากนี้ คำถามก็คือ มันอยู่ถาวรคงทนหรือไม่ ซึ่งถ้าดูจากเทคโนโลยี blockchain และการเข้ารหัสแบบ cryptography แล้วมันก็ยังอยู่ไปได้อีกนาน
ดังนั้นเมื่อเขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับ bitcoin มากขึ้น ๆ มันก็ทำให้ในปัจจุบันนั้นเขาเลือกที่จะสะสมความมั่งคั่งของเขากว่าร้อยละ 95 ใน bitcoin โดยมีหลายคนมักจะชอบถามเขาว่า เขานั้นบ้าไปแล้วที่ลงทุนใน bitcoin เกือบทั้งหมด มันเสี่ยงจะตายไป Pomp เขาจึงถามกลับว่า ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมพวกคุณถึงกล้าถือเงินดอลล่าร์ กล้าถือ Asset ที่วัดค่าด้วยเงินดอลล่าร์กว่าร้อยละ 95 ใน portfolio ของพวกคุณกันล่ะ ผมว่ามันเสี่ยงยิ่งกว่าเสี่ยงซะอีก และนั่นก็คือมุมมองต่างมุมของนักลงทุนแต่ละสาย โดย Anthony Pompliano ก็ได้ส่งท้ายเอาไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนในสิ่งใดก็ตาม ขอให้คุณศึกษาในสิ่งนั้นให้รู้อย่างลึกซึ้ง และโฟกัสในสิ่งที่คุณเชี่ยวชาญอย่างมีความสุข
แล้วก็จบกันไปสำหรับซีรี่ย์นี้กับซีรี่ย์ วิธีลงทุน Bitcoin ให้รวย สไตล์ Anthony Pompliano แล้วพบกันในซีรี่ย์ต่อ ๆ ไปนะครับ
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub
อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance
*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง
Resources
Image credit