Simon Sinek เจ้าของผลงานเขียนชื่อดังอย่าง Start with WHY ได้แชร์ประสบการณ์ในการที่ตัวของเขานั้นพยายามเป็นคนที่ขี้สงสัย พยายามเป็นคนที่ดูโง่เง่าเต่าตุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะเขาแกล้งโง่ แต่หากเรื่องใดเขาฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจจริง ๆ อย่างเรื่องที่ซับซ้อนและเข้าใจยากอย่างเรื่องของไฟแนนซ์ ไม่ก็เรื่องจิตวิทยา มันมักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีศัพท์แสงที่ฟังแล้วไม่เข้าใจเต็มไปหมด ดังนั้นเขาจะเริ่มตั้งถามคำถามอย่างมากมายจนกว่าตัวเขาจะเข้าใจ
ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อตอนที่เขาได้รับเชิญจากบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งให้ไปเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารระดับ C Level ขึ้นไป เพื่อไปฟังการบรรยายพรีเซนเทชั่นจากที่ปรึกษาค่าตัวแพงที่บริษัทพวกเขาจ้างมาให้คำปรึกษา ซึ่งในระหว่างที่ที่ปรึกษากำลังพรีเซนต์อยู่นั้น เหล่าบรรดาผู้บริหารระดับสูงก็ตั้งใจฟังและตั้งใจเขียนโน้ตลงบนกระดาษที่ปริ้นท์จาก PowerPoint ที่ได้จากที่ปรึกษาที่พวกเขาจ้างมาด้วยค่าตัวหลายแสน
ในขณะที่ตัวของ Simon นั้น กลับงงเต็กกับเนื้อหาที่บรรยาย เขาจึงยกมือเพื่อถามคำถามโดยเกริ่นขอโทษในห้องประชุมว่า ก่อนอื่นเลยผมต้องขอโทษทุกท่านที่การถามคำถามของผมนั้น อาจจะทำให้การบรรยายช้าลง ด้วยความที่ผมไม่ได้จบจากด้าน MBA หรือด้านบริหารธุรกิจ ดังนั้นผมอาจจะตามเนื้อหาได้ช้าหน่อย แต่ผมก็อยากเข้าใจจริง ๆ ว่า ไอ้ที่คุณพยายามพรีเซ็นต์ว่า a+b=c นั้น มันมีที่มาที่ไปอย่างไร ยังไงคุณรบกวนช่วยอธิบายอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งจะเป็นพระคุณมาก
และหลังจากที่ที่ปรึกษาคนนั้นพยายามอธิบายอีกครั้งอย่างละเอียด ทาง Simon ก็ยังไม่เข้าใจเนื้อหาทั้งหมด เขาจึงพยายามถามทวนว่า ผมเข้าใจในแบบของผมแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?
และในทันใดนั้น ก็มีผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งก็อุทานออกมาเช่นกันว่า ‘ใช่’ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาตรงนี้เช่นเดียวกันกับ Simon อยู่เหมือนกัน
และแน่นอนว่าหาก Simon ไม่แสดงตัวว่าเขาเป็นคนโง่ที่สุดในห้องประชุมนั้น ก็คงมีแต่คนผงกหัวเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจทุกสิ่งอย่างที่ที่ปรึกษาบรรยายมา เพราะพวกเขาไม่อยากดูไม่ฉลาดภายในห้องประชุมนั้น จนกระทั่ง Simon เปิดก่อน
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่บ้าบอสิ้นดีที่พวกเขายอมจ่ายเงินตั้งเยอะ เพื่อให้ได้เอกสารที่พวกเขาไม่เคยเข้าใจมาอย่างมากมาย และสุดท้ายก็ทิ้งเนื้อหาเอาไว้บนหิ้งไม่ก็ใส่ในลังในห้องเก็บของสักห้องหนึ่งภายในบริษัท
ดังนั้น เมื่ออุตส่าห์เสียเงินจ้างค่าที่ปรึกษามาตั้งแพงแล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือ การถามคำถามจนกว่าตัวคุณจะเข้าใจในสิ่งนั้น ซึ่งไม่เป็นที่จะต้องเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดก็ได้ แต่ขอให้คุณเข้าใจไปถึงจุดที่คุณต้องการ เพื่อที่คุณจะได้นำเนื้อหาเหล่านั้นไปอธิบายกับคนอื่นให้เข้าใจได้ตรงกันในรูปแบบการบอกต่อที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นจะทำให้การต้างที่ปรึกษาเหล่านั้นไม่สูญเปล่า และนี่ก็คือประโยชน์ของการดูเป็นคนโง่ที่สุดในห้องนั่นเอง
Resources