วิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 100 ปี กำลังจะมา โดย Ray Dalio | Blue O’Clock Podcast EP. 89
บทนำ: เปิดมุมมอง Ray Dalio
Ray Dalio เป็นผู้ก่อตั้งและอดีตผู้บริหารของ Bridgewater Associates ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) กองทุนบริหารความเสี่ยงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปีในแวดวงการเงิน เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักลงทุนระดับมหภาค (Global Macro Investor) ที่ทรงอิทธิพลที่สุด ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดการเงินในระดับโลก
Bridgewater Associates ก่อตั้งขึ้นในปี 1975 และเติบโตขึ้นจนกลายเป็นกองทุนที่บริหารสินทรัพย์หลายแสนล้านดอลลาร์ Ray สร้างชื่อเสียงจากแนวคิดทางเศรษฐกิจที่เป็นระบบ โดยเฉพาะการศึกษา วัฏจักรหนี้ขนาดใหญ่ (Big Debt Cycle) ซึ่งช่วยให้เขาสามารถคาดการณ์วิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญได้ล่วงหน้า นอกจากนี้ Bridgewater ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวทางการลงทุนแบบเชิงปริมาณ (Quantitative Investing), การบริหารความเสี่ยง (Risk Parity Strategy), และการสร้างสมดุลของพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความผันผวนของตลาด
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Ray ได้ก้าวลงจากการตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท และหันมาให้ความสำคัญกับการศึกษาและเผยแพร่ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์และการลงทุนเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจแนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลง เขาเขียนหนังสือหลายเล่ม เช่น Principles: Life and Work และ The Changing World Order ซึ่งอธิบายถึงแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารเงินทุน การพัฒนาแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในประวัติศาสตร์
Ray มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน เพื่อให้ผู้คนสามารถเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น เขามองว่าหลายคนยังขาดความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับ กลไกของระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่อง หนี้สิน การพิมพ์เงิน และวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก
Ray เชื่อว่าหากประชาชน นักธุรกิจ และผู้นำประเทศมีความเข้าใจเกี่ยวกับ วัฏจักรเศรษฐกิจและระบบการเงิน อย่างลึกซึ้ง จะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงของวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงในอนาคต นอกจากนี้ เขายังต้องการให้ผู้คนสามารถเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ทางเศรษฐศาสตร์ โดยการศึกษาแนวโน้มและรูปแบบ (Patterns and Trends) ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอดีต เพื่อให้เข้าใจว่าประเทศต่าง ๆ ล่มสลายทางเศรษฐกิจได้อย่างไร และจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร
เขามองว่าการให้ความรู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ในหมู่นักลงทุนระดับสูงหรือผู้กำหนดนโยบายเท่านั้น แต่ควรเป็นความรู้ที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้สามารถปรับตัวและวางแผนอนาคตทางการเงินของตัวเองได้ดีขึ้น เขาเชื่อว่าการเข้าถึงความรู้เหล่านี้จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของรัฐบาล, ธนาคารกลาง, และกลไกตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่มีผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพและคุณภาพชีวิตของพวกเขา
วิกฤตเศรษฐกิจโลก และเหตุผลที่เราควรให้ความสนใจ
ปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งรวมถึง:
ระดับหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก – หลายประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะที่หนี้สินของรัฐบาลสูงกว่ารายได้ของประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ และลดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ กำลังเผชิญกับภาวะที่ต้องเลือกว่าจะปล่อยให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการพิมพ์เงิน ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation)
การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ – ธนาคารกลางหลายแห่งใช้มาตรการพิมพ์เงิน (Quantitative Easing – QE) เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ในระยะยาวอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งจะทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ในขณะที่อำนาจซื้อของเงินลดลง นอกจากนี้ การพิมพ์เงินมากเกินไปอาจส่งผลให้ค่าเงินของประเทศอ่อนค่าลง ซึ่งจะกระทบต่อการนำเข้าและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ
ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และสงคราม AI – ความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงการแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตลาดแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ Ray เตือนว่าผลกระทบของ AI จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะในขณะที่ AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดต้นทุนการผลิต แต่ก็อาจทำให้แรงงานมนุษย์จำนวนมากต้องตกงาน นอกจากนี้ สงครามเทคโนโลยีระหว่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ และจีน อาจส่งผลต่อการควบคุมทรัพยากรดิจิทัลและข้อมูล ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต
Ray เชื่อว่าเรากำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของ วัฏจักรเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และต้องเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เขาเน้นว่าความรู้และการเตรียมความพร้อมเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องตนเองจากผลกระทบของวิกฤตที่อาจเกิดขึ้น
วัฏจักรหนี้และการเข้าใจกลไกเศรษฐกิจ
วัฏจักรหนี้ขนาดใหญ่ (Big Debt Cycle) และระยะสั้น (Short-Term Debt Cycle)
Ray Dalio ได้อธิบายว่าเศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วยวัฏจักรของหนี้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองระดับหลัก ๆ ได้แก่ วัฏจักรหนี้ขนาดใหญ่ (Big Debt Cycle) ซึ่งใช้เวลาหลายทศวรรษ หรือประมาณ 80 ปีต่อรอบ และ วัฏจักรหนี้ระยะสั้น (Short-Term Debt Cycle) ซึ่งเกิดขึ้นทุก ๆ 6 ปี (บวกลบ 3 ปี)
วัฏจักรหนี้ระยะสั้น (Short-Term Debt Cycle) เป็นกลไกปกติของเศรษฐกิจที่เกิดจากการขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ยและการใช้จ่ายของรัฐบาลและภาคเอกชน ตัวอย่างเช่น เมื่อธนาคารกลางลดดอกเบี้ย ภาคธุรกิจและภาคประชาชนจะกู้ยืมเงินมากขึ้น เพื่อไปพัฒนาสินค้าและบริการ มีการจับจ่ายใช้สอย เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น มีหนี้ในระบบเพิ่มขึ้น และเมื่อราคาสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่าเงินเฟ้อ ธนาคารกลางต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อทำให้การกู้ยืมเงินแพงขึ้น ลดการใช้จ่าย และชะลอการเติบโตของเงินเฟ้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว เพราะผู้คนกู้เงินน้อยลง ใช้จ่ายน้อยลง และธุรกิจเติบโตช้าลง ทำให้ในที่สุดธนาคารกลางต้องลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้วัฏจักรเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
วัฏจักรหนี้ขนาดใหญ่ (Big Debt Cycle) มีความซับซ้อนและอันตรายกว่ามาก เนื่องจากเป็นผลสะสมจากวัฏจักรหนี้ระยะสั้นที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้ระบบการเงินเข้าสู่จุดที่ไม่สามารถพึ่งพาการลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกต่อไป และต้องใช้มาตรการที่รุนแรงกว่าเดิม เช่น การพิมพ์เงินจำนวนมากออกมา หรือการปรับโครงสร้างหนี้ของประเทศ
เหตุผลที่สหรัฐอเมริกา กำลังเข้าสู่ช่วงปลายของวัฏจักรหนี้ขนาดใหญ่
Ray เตือนว่าขณะนี้สหรัฐฯ กำลังอยู่ใน ช่วงปลายของวัฏจักรหนี้ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงที่ระบบการเงินเริ่มถึงจุดอิ่มตัวจากการกู้ยืมที่มากเกินไป ซึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่าสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงอันตรายของวัฏจักรนี้ ได้แก่:
ภาระหนี้สินของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง – โดยสหรัฐฯ ในปี 2025 มีหนี้สาธารณะสูงกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และต้องชำระดอกเบี้ยของหนี้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี ซึ่งเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระดับหนี้ที่สะสม ซึ่งทำให้เกิด “วังวนแห่งความหายนะ” (Death Spiral) ที่อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง
การใช้มาตรการพิมพ์เงินอย่างหนักของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) – ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่าน ๆ มา ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้มาตรการ Quantitative Easing (QE) หรือการพิมพ์เงินเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ แต่การกระทำเช่นนี้ส่งผลทำให้มูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง และก่อให้เกิดเงินเฟ้อสูง ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ สูญเสียสถานะเป็น “สกุลเงินสำรองโลก” (Global Reserve Currency) ได้
การลดลงของความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ – นักลงทุนทั่วโลกเริ่มไม่มั่นใจในการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แม้ว่าดอกเบี้ยที่สูงจะทำให้ผลตอบแทนน่าสนใจขึ้น แต่มันก็ทำให้พันธบัตรที่ออกไปก่อนหน้านี้มีมูลค่าลดลง ทำให้นักลงทุนบางรายเลือกที่จะขายพันธบัตรเหล่านั้นเพื่อลดความเสี่ยง นอกจากนี้ การที่รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นจากการกู้ยืมมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ ส่งผลให้บางประเทศและนักลงทุนสถาบันเริ่มลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ สถานการณ์นี้ทำให้รัฐบาลต้องเผชิญกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น และอาจนำไปสู่การลดงบประมาณของรัฐ ซึ่งอาจกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น – เมื่อวัฏจักรหนี้เข้าสู่ช่วงปลาย เรามักจะเห็นช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยและคนจนขยายกว้างขึ้น เนื่องจากสินทรัพย์ทางการเงิน อย่างเช่น หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ เติบโตในขณะที่ค่าครองชีพของคนทั่วไปสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความไม่พอใจทางสังคมและความตึงเครียดทางการเมือง
การเปรียบเทียบเศรษฐกิจกับระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์
Ray เปรียบเทียบว่าถ้าร่างกายของคนเราคือเศรษฐกิจที่มีระบบไหลเวียนโลหิต โดยมองว่า เงิน ทำหน้าที่คล้ายกับ เลือด ที่หมุนเวียนไปทั่วร่างกายเพื่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในขณะที่ หนี้ ทำหน้าที่คล้ายกับ คราบไขมัน ที่สะสมอยู่ในเส้นเลือด เมื่อหนี้มีมากเกินไป จะทำให้การไหลเวียนของเงินติดขัด ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และหากสะสมมากเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ
ถ้ามีเงินหมุนเวียนอย่างสมดุล – เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างมั่นคง ธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ประชาชนมีรายได้เพียงพอ และรัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายการคลังได้อย่างยั่งยืน
เมื่อหนี้สะสมมากเกินไป – ระบบเศรษฐกิจเริ่ม “อุดตัน” คล้ายกับโรคหลอดเลือดอุดตัน (Atherosclerosis) ในร่างกาย เมื่อรัฐบาลต้องกู้ยืมมากขึ้นเพื่อจ่ายดอกเบี้ยของหนี้เก่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้การกู้ยืมของธุรกิจและประชาชนเป็นเรื่องยากขึ้น ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัว และอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
มาตรการแก้ไขคล้ายกับการรักษาทางการแพทย์ – เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤต ธนาคารกลางต้องเลือกใช้ “ยา” รักษาให้ถูกอาการ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย การอัดฉีดสภาพคล่อง หรือการพิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม หากใช้ “ยา” เหล่านี้มากเกินไป เช่น การพิมพ์เงินมากเกินไป อาจทำให้เศรษฐกิจเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation) คล้ายกับผลข้างเคียงของยาที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
Ray เตือนว่า ขณะนี้เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับ “อาการป่วย” ของวัฏจักรหนี้ขนาดใหญ่ และหากไม่มีมาตรการแก้ไขที่ถูกต้อง ระบบเศรษฐกิจอาจเข้าสู่จุดวิกฤต ซึ่งต้องการการปฏิรูปครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเงิน
วิกฤตหนี้ของสหรัฐฯ และบทบาทของธนาคารกลาง
หนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ และภาระดอกเบี้ยมหาศาล
Ray Dalio เตือนว่าสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการกู้ยืมของรัฐบาลที่เกินขีดจำกัดมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยในปี 2025 หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ สูงกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และไม่มีแนวโน้มลดลง
หนึ่งในปัญหาหลักที่มากับหนี้จำนวนมหาศาลนี้คือ อัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ที่สูงขึ้น ขณะนี้ หนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ที่ 123% ของ GDP นั่นหมายความว่า หนี้สินของประเทศมีมูลค่ามากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจที่สามารถสร้างขึ้นในหนึ่งปี ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตได้เร็วพอที่จะตามหนี้ทัน และยังเป็นภาระที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ
ภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่าย เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงกดดันทางการคลัง สหรัฐฯ ต้องชำระดอกเบี้ยหนี้มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ก่อนที่รัฐบาลจะสามารถใช้งบประมาณกับโครงการสำคัญ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา หรือสวัสดิการสังคม งบประมาณส่วนใหญ่ต้องถูกกันไว้เพื่อจ่ายดอกเบี้ย ทำให้การลงทุนในอนาคตของประเทศลดลง
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นยังทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ ต้องออกพันธบัตรใหม่เพื่อใช้หนี้เก่า แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุน นี่ทำให้หนี้ที่เกิดขึ้นใหม่มีภาระดอกเบี้ยสูงกว่าเดิม และเข้าสู่ “วังวนหายนะ” (Death Spiral) ซึ่งยากต่อการควบคุม หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป อาจส่งผลให้เกิดวิกฤตการเงินที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
กลไกการพิมพ์เงิน (Quantitative Easing – QE) และผลกระทบต่อเงินเฟ้อ
เมื่อรัฐบาลมีภาระหนี้สูง และนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในการซื้อพันธบัตรรัฐบาล สหรัฐฯ มักใช้กลไกที่เรียกว่า Quantitative Easing (QE) หรือ การพิมพ์เงิน เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและสนับสนุนเศรษฐกิจ
QE เป็นนโยบายที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ใช้ในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ จากตลาด ด้วยความหวังว่าการเพิ่มปริมาณเงินจะกระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน และช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
แต่อย่างไรก็ตามการทำ QE มี ผลกระทบด้านลบ ที่สำคัญ:
ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น – เมื่อมีเงินเพิ่มขึ้นในระบบ คนก็มีเงินใช้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการซื้อสินค้าสูงขึ้น แต่ถ้าสินค้ามีจำนวนเท่าเดิมหรือผลิตไม่ทัน ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งก็คือภาวะเงินเฟ้อ
ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ทางการเงิน – เมื่อนักลงทุนได้รับเงินจาก QE จากการพิมพ์เงิน พวกเขามักนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และคริปโตเคอเรนซี สิ่งนี้ทำให้ราคาสินทรัพย์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเศรษฐกิจจริงอาจไม่ได้เติบโตในอัตราที่สอดคล้องกัน
ลดมูลค่าของเงินดอลลาร์ในระยะยาว – หากธนาคารกลางพิมพ์เงินมากเกินไป อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะกระทบต่ออำนาจซื้อของประชาชนและความมั่นคงทางการเงินของประเทศ
แม้ว่า QE จะช่วยหลีกเลี่ยงวิกฤตการเงินในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ในระยะยาว อาจสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจหากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระดับหนี้สูงเกินไปจนกลายเป็นภาระที่ไม่สามารถจัดการได้
ความเสี่ยงของ “Death Spiral” วังวนแห่งความหายนะทางเศรษฐกิจ
Ray เตือนว่าหากสหรัฐฯ ไม่สามารถควบคุมหนี้สินได้ อาจเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Death Spiral” หรือ วังวนแห่งความหายนะทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลต้องกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพียงเพื่อจ่ายดอกเบี้ยของหนี้เก่า ทำให้หนี้สินพอกพูนจนไม่สามารถจัดการได้อีกต่อไป
วังวนหายนะนี้มักจะมีลักษณะดังนี้:
หนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง – โดยรัฐบาลต้องกู้เงินใหม่เพื่อชำระหนี้เก่า ทำให้ระดับหนี้พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง – นักลงทุนเริ่มสงสัยว่าสหรัฐฯ จะสามารถชำระหนี้ได้หรือไม่ ทำให้พวกเขาหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น ทองคำ
อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น – เมื่อผู้ซื้อพันธบัตรมีความเสี่ยงมากขึ้น พวกเขาจะเรียกร้องอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มขึ้นไปอีก
การพิมพ์เงินมากขึ้น – ธนาคารกลางต้องพิมพ์เงินเพื่อรักษาสภาพคล่องของรัฐบาล แต่สิ่งนี้ทำให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจล่มสลายในที่สุด
ซึ่งหลายประเทศในอดีต เช่น เวเนซุเอลา, ซิมบับเว เคยตกอยู่ในสถานการณ์ลักษณะนี้มาแล้ว และหากสหรัฐฯ ไม่สามารถควบคุมหนี้สินและงบประมาณได้ อาจเกิดปัญหาคล้ายกันกับประเทศที่มีสกุลเงินล่มสลาย
การลดค่าของเงินและผลกระทบต่อการลงทุน
ทำไมราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอาจเป็นแค่ภาพลวงตา?
Ray Dalio อธิบายว่า แม้ว่าราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำจะเพิ่มขึ้น แต่การเติบโตนี้อาจไม่ใช่สัญญาณของความมั่งคั่งที่แท้จริง เพราะในหลายกรณี แม้ว่าราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น แต่มันเพิ่มขึ้นเพราะมูลค่าของเงินลดลงต่างหาก มันไม่ใช่เพราะสินทรัพย์เหล่านั้นมีมูลค่าที่แท้จริงเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างภาพลวงตาของความมั่งคั่ง:
นักลงทุนที่ถือครองหุ้นอาจเห็นมูลค่าพอร์ตของตนสูงขึ้นในตัวเลข แต่ถ้ากำลังซื้อของเงินลดลง ผลตอบแทนที่แท้จริงอาจไม่เปลี่ยนแปลงหรือแย่ลง ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนซื้อหุ้นที่ราคา 100 ดอลลาร์ และหลังจากหนึ่งปี ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 120 ดอลลาร์ ดูเหมือนว่าเขาได้กำไร 20% แต่ถ้าเงินเฟ้อในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 20% เช่นกัน ความสามารถในการซื้อของเงิน 120 ดอลลาร์ในอนาคตก็จะเทียบเท่ากับ 100 ดอลลาร์ในปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่าผลตอบแทนที่แท้จริงเป็นศูนย์ นักลงทุนไม่ได้มั่งคั่งขึ้นจริง แม้ว่ามูลค่าพอร์ตจะดูสูงขึ้น
Ray ชี้ให้เห็นว่าการวัดผลตอบแทนของการลงทุน ควรพิจารณา มูลค่าที่แท้จริงหลังปรับเงินเฟ้อ (Real Return) มากกว่าการดูมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในหน่วยของสกุลเงินเพียงอย่างเดียว
เงินเฟ้อ (Inflation) และการลดค่าของเงิน (Devaluation)
เงินเฟ้อ (Inflation) คือการที่ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งทำให้กำลังซื้อของเงินลดลง Ray เตือนว่าเงินเฟ้ออาจเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อความมั่งคั่งของประชาชน เพราะแม้ว่าคนจะมีเงินมากขึ้น แต่ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้นเร็วกว่าเงินที่มีอยู่ก็จะซื้อของได้น้อยลง
สาเหตุของเงินเฟ้อ:
การพิมพ์เงินมากเกินไป – เมื่อรัฐบาลและธนาคารกลางพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบมากเกินไป มูลค่าของเงินจะลดลง และทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น
ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น – เช่น ราคาพลังงานและวัตถุดิบที่แพงขึ้น ซึ่งทำให้ต้นทุนของสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
อุปสงค์ที่มากกว่าปริมาณสินค้า – เมื่อมีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นแต่ผลิตไม่ทัน ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น
การลดค่าของเงิน (Devaluation) หมายถึงการที่มูลค่าของสกุลเงินลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ซึ่งอาจเกิดจากนโยบายของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง ตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางสหรัฐฯ พิมพ์เงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีการผลิตทางเศรษฐกิจที่รองรับ ค่าเงินดอลลาร์อาจลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นได้ เช่น เงินหยวน
ผลกระทบของการลดค่าของเงิน:
เงินออมของประชาชนมีค่าลดลง – ผู้ที่เก็บเงินสดไว้โดยไม่ได้ลงทุน อาจพบว่ามูลค่าของเงินออมนั้นหายไปเรื่อย ๆ
สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น – เพราะต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อของจากต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อเพิ่มเติม
นักลงทุนต้องมองหาสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง – เช่น ทองคำ หรือสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้แม้ค่าเงินลดลง
พันธบัตร (Bonds) และเหตุผลที่มันอาจไม่ใช่การลงทุนที่ดีอีกต่อไป
Ray Dalio กล่าวถึงพันธบัตร (Bonds) โดยอธิบายว่ามูลค่าของพันธบัตรมีแนวโน้มลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และการถือครองพันธบัตรอาจให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าระดับเงินเฟ้อ ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงขึ้นในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
เหตุผลที่พันธบัตรไม่น่าสนใจ:
- อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าระดับเงินเฟ้อ – หากพันธบัตรให้ดอกเบี้ย 3% แต่เงินเฟ้ออยู่ที่ 5% นักลงทุนจะขาดทุนในแง่ของกำลังซื้อ (Purchasing Power)
- มูลค่าพันธบัตรลดลงเมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น – หากอัตราดอกเบี้ยของตลาดสูงขึ้น พันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าที่เคยออกมาก่อนหน้านี้จะมีมูลค่าลดลง ทำให้นักลงทุนขาดทุนหากต้องการขายก่อนครบกำหนด
- ความเสี่ยงของรัฐบาลที่มีหนี้สูง – รัฐบาลที่มีภาระหนี้สูง อาจต้องพิมพ์เงินมากขึ้นเพื่อจ่ายหนี้ ซึ่งทำให้พันธบัตรมีความเสี่ยงสูงขึ้น
ทางเลือกแทนพันธบัตร:
- การลงทุนใน สินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือทองคำ ซึ่งมีแนวโน้มรักษามูลค่าได้ดีกว่าในภาวะเงินเฟ้อ
- การถือครอง หุ้นของบริษัทที่สามารถปรับราคาสินค้าตามเงินเฟ้อ ซึ่งจะช่วยรักษากำไรและมูลค่าธุรกิจ
บทเรียนจากประวัติศาสตร์และแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ตัวอย่างจากอดีต: ยุคเงินเฟ้อรุนแรง (1970s) และภาวะเศรษฐกิจซบเซา
Ray Dalio มักใช้เศรษฐกิจในอดีตเป็นแนวทางในการวิเคราะห์แนวโน้มปัจจุบัน โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ในช่วงปี 1970s ซึ่งให้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับ เงินเฟ้อที่รุนแรง
ยุคเงินเฟ้อรุนแรง (1970s) และวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น:
ในช่วงปี 1970s สหรัฐฯ เผชิญกับภาวะที่เรียกว่า Stagflation ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นแต่เศรษฐกิจกลับชะลอตัว เพราะโดยปกติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อมักจะลดลงเนื่องจากการใช้จ่ายและการลงทุนลดลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็ได้เกิดวิกฤตพลังงานในปี 1973 และ 1979 ที่เกิดจากการลดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้นไปอีก
ในขณะเดียวกันในช่วงนี้ยังมีอัตราการว่างงานได้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประชาชนมีรายได้ลดลงแต่กลับต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่แพงขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงอย่างมาก และเศรษฐกิจได้เข้าสู่ภาวะซบเซา
ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จึงตอบสนองต่อปัญหานี้ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เพื่อพยายามควบคุมเงินเฟ้อ แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากส่งผลให้ต้นทุนในการกู้ยืมก็พุ่งสูงขึ้นไปอีก ส่งผลให้ประเทศมีการลงทุนลดลง และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย
แม้ว่านโยบายนี้จะช่วยลดอัตราเงินเฟ้อได้ในที่สุด แต่มันก็มาพร้อมกับผลกระทบด้านลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
Ray ชี้ให้เห็นว่าในปัจจุบันก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับในช่วงปี 1970s โดยเฉพาะที่ธนาคารกลางต้องเผชิญในการพยายามควบคุมเงินเฟ้อโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลกในอนาคต
บทเรียนจากญี่ปุ่นเกี่ยวกับการพิมพ์เงินและค่าเงินที่ลดลง
ประเทศญี่ปุ่นเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญเกี่ยวกับ ผลกระทบของนโยบายการลดดอกเบี้ยให้ต่ำและการพิมพ์เงินในระยะยาว ซึ่ง Ray มักนำมาใช้เป็นตัวอย่างเพื่ออธิบายว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาได้
เศรษฐกิจฟองสบู่ในช่วงปี 1980 – ญี่ปุ่นประสบปัญหากับการขยายตัวของตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อรัฐบาลพยายามควบคุมความร้อนแรงของตลาด ฟองสบู่ก็ได้แตกลงในช่วงต้นทศวรรษ 1990
การพิมพ์เงินและนโยบายดอกเบี้ยต่ำ – และเมื่อญี่ปุ่นพยายามที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงใช้นโยบายด้วยการลดดอกเบี้ยให้ต่ำลงเป็นเวลาหลายทศวรรษ และเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ใช้ Quantitative Easing (QE) หรือการพิมพ์เงินออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง – การพิมพ์เงินจำนวนมากส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น แม้ว่าสิ่งนี้จะช่วยให้สินค้าส่งออกของญี่ปุ่นมีราคาถูกลงในตลาดต่างประเทศ ทำให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ต้นทุนของสินค้านำเข้าสูงขึ้น โดยเฉพาะพลังงานและวัตถุดิบที่ญี่ปุ่นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เมื่อค่าเงินอ่อนค่ามากเกินไป ญี่ปุ่นจึงต้องพึ่งพาการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น และต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ภาระหนี้สูงที่สุดในโลก – ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะสูงกว่า 200% ของ GDP ซึ่งหมายความว่าหนี้ของรัฐบาลญี่ปุ่นมีมูลค่ามากกว่าสองเท่าของผลผลิตทางเศรษฐกิจของประเทศในแต่ละปี แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นยังสามารถบริหารจัดการหนี้นี้ได้ผ่านอัตราดอกเบี้ยต่ำและการพึ่งพานักลงทุนภายในประเทศเป็นหลัก แต่ระดับหนี้ที่สูงมากเช่นนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข หากในอนาคตเศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอตัว หรืออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ภาระหนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่งผลต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
แนวโน้มของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนผ่านของมหาอำนาจ
Ray ได้พูดถึง การเปลี่ยนผ่านของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยอ้างอิงจากวัฏจักรประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น การขึ้นมาของจีน และการเสื่อมถอยของมหาอำนาจเดิมอย่างสหรัฐฯ
สหรัฐฯ และการอ่อนค่าของดอลลาร์ – Ray ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่มีหนี้สูงและใช้มาตรการพิมพ์เงินมากเกินไปมักจะพบกับการเสื่อมอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับจักรวรรดิอังกฤษและอาณาจักรโรมัน
อย่างในกรณีของจักรวรรดิอังกฤษ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง อังกฤษเผชิญกับภาระหนี้จำนวนมาก และอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้เข้ามาแทนที่อังกฤษในฐานะมหาอำนาจทางการเงินของโลก สกุลเงินปอนด์สเตอร์ลิงที่เคยเป็นเงินสกุลหลักของโลกถูกลดบทบาทลง และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เข้ามาแทนที่ในการเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ
ในกรณีของอาณาจักรโรมัน การขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็วและการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพส่งผลให้รัฐบาลต้องเพิ่มภาระหนี้และพิมพ์เงินมากขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาความมั่นคงของจักรวรรดิ เมื่อค่าเงินเสื่อมลง อำนาจการปกครองและเศรษฐกิจของโรมันก็อ่อนแอลงตามไปด้วย นำไปสู่ความไม่สงบภายในและการเสื่อมถอยของอาณาจักรในที่สุด
Ray ใช้ตัวอย่างเหล่านี้เพื่อเตือนว่าสหรัฐฯ อาจกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่คล้ายกัน หากไม่สามารถควบคุมหนี้สินและการพิมพ์เงินอย่างมีประสิทธิภาพได้
จีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ – ประเทศจีนมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและเริ่มผลักดันให้เงินหยวนมีบทบาทในตลาดโลกมากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
วัฏจักรของมหาอำนาจ – Ray อธิบายว่าอำนาจทางเศรษฐกิจมักจะมีวัฏจักรของการขึ้นสูงสุดและเสื่อมลง ซึ่งเกิดจากการบริหารเศรษฐกิจ การเมือง และสถานะทางการเงินของประเทศ
ปัจจัยที่ต้องจับตามอง:
- การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนในด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
- การเปลี่ยนแปลงของสถานะเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองโลก
- การเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนและการลงทุนในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย เม็กซิโก และตุรกี ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก
กลยุทธ์การลงทุนและการป้องกันความเสี่ยง
การลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลผลิต (Productive Assets)
Ray ได้เสริมความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนใน สินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลผลิตและมีมูลค่าในตัวเอง หลังจากที่พิธีกรกล่าวถึงความชื่นชอบในการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ ซึ่งหมายถึงสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้หรือมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ตัวอย่างของสินทรัพย์ประเภทนี้ ได้แก่ หุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ และกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
Ray มองว่าการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลผลิตเป็นทางเลือกที่มั่นคงกว่าการถือเงินสดหรือพันธบัตรในช่วงที่เงินเฟ้อสูง เพราะสินทรัพย์เหล่านี้สามารถปรับตัวและรักษามูลค่าได้ดีกว่าในระยะยาว
บทบาทของทองคำ (Gold) และ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
Ray กล่าวถึง ทองคำ ว่าเป็นสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้ดีในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ทองคำถูกใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของตลาดการเงินมาอย่างยาวนาน ในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าหรือทางธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการพิมพ์เงินเป็นจำนวนมาก นักลงทุนมักจะหันมาถือทองคำเพื่อรักษามูลค่าความมั่งคั่งของตนเอง
ในส่วนของ Bitcoin Ray ได้กล่าวว่าเขามีการถือครอง Bitcoin อยู่บ้าง แม้ว่าเขายังมองว่าสกุลเงินดิจิทัลยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของพัฒนาการ เขามองว่า Bitcoin มีคุณสมบัติคล้ายกับทองคำในแง่ของการเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาล และสามารถใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของสกุลเงินหลัก อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่านักลงทุนไม่ควรพึ่งพา Bitcoin เพียงอย่างเดียว และควรกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ด้วย
เหตุใดการกระจายความเสี่ยง (Diversification) จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญ?
Ray เชื่อว่าการกระจายความเสี่ยง (Diversification) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในการลงทุน เขาเตือนนักลงทุนว่าไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์เพียงประเภทเดียว เพราะไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตของตลาดได้อย่างแม่นยำเสมอไป
Ray เขาแนะนำแนวคิดเกี่ยวกับการกระจายความเสี่ยง โดยเชื่อมโยงกับแนวคิด “Holy Grail of Investing” ซึ่ง Ray Dalio ค้นพบว่า หากนักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำกัน (Low-Correlation Assets) ประมาณ 15-20 รายการ จะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุนได้อย่างมาก โดยที่ยังสามารถรักษาผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่ดี แนวคิดนี้เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีพฤติกรรมทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อให้พอร์ตสามารถรักษาเสถียรภาพได้ในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เงินเฟ้อสูง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือช่วงที่ตลาดมีความผันผวนอย่างรุนแรง
Ray เชื่อว่า พอร์ตการลงทุนที่สมดุล และการถือสินทรัพย์ที่หลากหลายจะช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาดและลดโอกาสในการสูญเสียเงินทุนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
AI เทคโนโลยี และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
สงคราม AI และผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
Ray ได้กล่าวถึงบทบาทของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยี ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในแง่ของการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งกำลังแข่งขันกันเพื่อเป็นผู้นำในเทคโนโลยี AI
เขาตั้งข้อสังเกตว่าการพัฒนา AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่ยังเป็น เครื่องมือทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรม การจ้างงาน และโครงสร้างเศรษฐกิจในระดับมหภาค ประเทศที่สามารถพัฒนา AI ได้เร็วกว่าจะได้รับประโยชน์ในด้าน การเติบโตทางเศรษฐกิจ การแข่งขันทางธุรกิจ และความมั่นคงทางการทหาร
ดังนั้น การแข่งขันด้าน AI จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะประเทศที่ล้าหลังในด้านนี้อาจเสียเปรียบในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การทหาร หรืออิทธิพลทางการเมือง หากประเทศใดตามไม่ทันในเทคโนโลยี AI ก็อาจพบกับความยากลำบากในการแข่งขันระดับโลก
บทบาทของบริษัทเทคโนโลยี และความเสี่ยงของฟองสบู่ใหม่
Ray ได้กล่าวถึงบทบาทของ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Big Tech) ที่กำลังมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้พัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังควบคุมข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ และโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล
เขาเตือนว่าสิ่งนี้อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่คล้ายกับฟองสบู่ทางเทคโนโลยีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น ฟองสบู่ดอทคอมในช่วงปี 2000 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อบริษัทอินเทอร์เน็ตได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมหาศาล ทำให้มูลค่าหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าหลายบริษัทจะยังไม่มีรายได้ที่มั่นคงหรือแผนธุรกิจที่ยั่งยืน นักลงทุนต่างคาดหวังว่าธุรกิจออนไลน์จะเป็นอนาคตของเศรษฐกิจและทุ่มเงินเข้าซื้อหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ราคาหุ้นเติบโตเกินมูลค่าที่แท้จริง
ในช่วงปี 1999-2000 บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเข้าสู่ตลาดหุ้นผ่านการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) และสามารถระดมทุนได้มหาศาล อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้หรือผลกำไรได้ตามที่คาดหวัง นักลงทุนเริ่มสูญเสียความมั่นใจและเทขายหุ้นออกไป ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทอินเทอร์เน็ตลดลงอย่างรวดเร็ว หลายบริษัทล้มละลายหรือถูกซื้อกิจการในราคาถูก ในปี 2000-2002
ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ซึ่งเป็นดัชนีหลักของหุ้นเทคโนโลยีร่วงลงมากกว่า 75% ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และตลาดการเงินทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
Ray เตือนว่าสถานการณ์ในปัจจุบันอาจคล้ายกับฟองสบู่ดอทคอม เนื่องจากมีการประเมินมูลค่าบริษัทเทคโนโลยีสูงเกินจริงอีกครั้ง นักลงทุนควรระมัดระวังและไม่ไล่ตามกระแสการลงทุนโดยไม่มีการพิจารณาพื้นฐานของบริษัทให้รอบคอบ
เขาเน้นว่านักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่ และควรให้ความสำคัญกับ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท มากกว่าการคาดหวังการเติบโตแบบไม่มีที่สิ้นสุด
ข้อสรุปและแนวทางแก้ไขของ Ray Dalio
แนวคิด “3% Solution” – ควบคุมการขาดดุลงบประมาณเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
Ray เน้นว่าการบริหารงบประมาณของรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เขาเสนอให้ควบคุมการขาดดุลงบประมาณไม่ให้เกิน 3% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมเพื่อป้องกันปัญหาหนี้สะสมและลดความเสี่ยงจากผลกระทบทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 7% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าระดับที่ Ray แนะนำ หากรัฐบาลยังคงขาดดุลในระดับสูง อาจต้องพึ่งพาการพิมพ์เงินเพิ่มเติมหรือปรับขึ้นภาษี ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อและลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น การบริหารงบประมาณอย่างมีวินัยและลดการขาดดุลลงจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ผลกระทบของนโยบายการคลังและแนวทางของรัฐบาล
Ray ได้วิเคราะห์ว่า นโยบายการคลังของรัฐบาลมีผลโดยตรงต่อภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงิน หากรัฐบาลดำเนินนโยบายที่เน้นการใช้จ่ายมากเกินไปโดยไม่มีแหล่งรายได้ที่เพียงพอ อาจทำให้เกิดปัญหาหนี้สะสมและทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอลงได้
เขาเน้นว่ารัฐบาลควรหาวิธี สร้างสมดุลระหว่างการใช้จ่ายและการจัดหารายได้ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้จากภาษีโดยไม่ต้องเพิ่มอัตราภาษีสูงเกินไป นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรให้ความสำคัญกับ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรม ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันในระยะยาว
Ray เตือนว่าหากรัฐบาลไม่สามารถบริหารนโยบายการคลังได้ดีพอ อาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่วัฏจักรแห่งหนี้สินและต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ง่ายขึ้น
คำแนะนำของ Ray สำหรับนักลงทุนและประชาชน
Ray Dalio ได้ให้คำแนะนำสำหรับนักลงทุนและประชาชนเกี่ยวกับการรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยเน้นไปที่หลักการ การกระจายความเสี่ยงและการลงทุนอย่างมีวินัย
- การลงทุนที่หลากหลายและมีความสัมพันธ์ต่ำ: Ray เน้นว่าการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำราว ๆ 15-20 อย่าง เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ สามารถช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน และทำให้สามารถรักษาความมั่นคงทางการเงินได้ แม้ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง
- ถือสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าในระยะยาว: ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้ เช่น ทองคำ
- ติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดการเงิน: Ray แนะนำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย นโยบายการเงิน และภาวะเงินเฟ้อ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
- เตรียมตัวสำหรับความเปลี่ยนแปลง: เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราควรมีความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ทางการเงินของตนเองและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น
ข้อสรุป
Ray Dalio มองว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น หนี้สินภาครัฐที่สูงขึ้น ความผันผวนของตลาด เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ ดังนั้น การเตรียมตัวรับมือกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งสำคัญทั้งในระดับรัฐบาล นักลงทุน และประชาชนทั่วไป
ในแง่ของ เศรษฐกิจมหภาค Ray เน้นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ควร ควบคุมการขาดดุลงบประมาณ และลดหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน เช่น ลดการขาดดุลให้เหลือ 3% ของ GDP เพื่อลดความเสี่ยงจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน สหรัฐฯ ขาดดุลอยู่ที่ 7% ของ GDP ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ หากไม่มีมาตรการที่เหมาะสม
ในด้าน ตลาดการเงินและการลงทุน Ray Dalio เตือนว่าการพึ่งพาการพิมพ์เงินและนโยบายการเงินที่หย่อนยานมากเกินไป อาจนำไปสู่ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจและทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ควร กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำกัน เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ วิธีนี้จะช่วยลดผลกระทบหากมีสินทรัพย์บางประเภทที่มูลค่าลดลง และช่วยรักษาเสถียรภาพของพอร์ตการลงทุนในระยะยาว
นอกจากนี้ Ray ยังเน้นถึงบทบาทของ เทคโนโลยีและ AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและการลงทุน ซึ่งอาจสร้างโอกาสใหม่ ๆ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงของการกระจุกตัวของอำนาจทางเศรษฐกิจในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และอาจนำไปสู่ฟองสบู่เทคโนโลยีเช่นเดียวกับฟองสบู่ดอทคอมในอดีต
สุดท้าย เขาให้คำแนะนำว่าทุกคนควรมี ความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ทางการเงิน และติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับตัวและรักษาความมั่นคงทางการเงินในโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงได้
Resources
- https://youtu.be/1_rvVTuGRNE?si=CzkNlwPjMXq95Fur
- https://www.longtermtrends.net/m2-money-supply-vs-inflation/
- https://www.tfpa.or.th/9e6417ebffecef071/resources4_3_2_10.html
- https://fiscaldata.treasury.gov/americas-finance-guide/national-debt/
- https://tradingeconomics.com/united-states/government-debt-to-gdp