10 เรื่องจริงยิ่งกว่านิยายของชายที่ชื่อว่า Jack Ma บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน
Jack Ma ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba.com ที่ถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์สำหรับค้าขายระหว่าง SMEs ในราคาส่งแบบ B2B ที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยในปี 2019 ทางนิตยสาร Forbes จัดให้เขาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน และในปี 2020 นี้เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $52 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1.6 ล้านล้านบาท
เรื่องที่ 1 ครอบครัวของ Jack Ma เคยมีรายได้ทั้งครอบครัวเพียง 200 บาทต่อเดือนเท่านั้น
Jack Ma เกิดในครอบครัวที่ยากจนโดยสมบูรณ์มาตั้งแต่กำเนิด โดยเขานั้นเคยมีรายได้เพียง $7/เดือน หรือประมาณ 200 กว่าบาทเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าเขาจะเลือกชาติกำเนิดไม่ได้ แต่เขาสามารถเลือกเดินในเส้นทางที่ต้องการได้ ซึ่งข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการเกิดมาจนก็คือ มันไม่มีอะไรให้เสีย ไม่มีความคาดหวังจากครอบครัวว่าจะต้องเป็นในแบบที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นเขาสามารถลุยได้อย่างเต็มที่
เรื่องที่ 2 แบรนด์ Alibaba มีที่มาจากนิทาน
Jack Ma ได้ไอเดียในการตั้งชื่อบริษัทแรกจากนิทานเรื่อง อาลีบาบากับ 40 จอมโจร (Ali Baba and the Forty Thieves) โดยตัวเอกของนิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า Ali Baba โดยเนื้อเรื่องย่อก็คือ มีเหล่าบรรดาจอมโจรทั้ง 40 คน ได้เก็บซ่อนสมบัติที่ปล้นมาได้ ไปซ่อนไว้ในถ้ำลึกลับ โดยหากต้องการเปิดปากถ้ำที่เก็บสมบัติเอาไว้จะต้องพูดคาถาว่า “Open Sesame” ทันใดนั้นชายหนุ่มนามว่า Ali Baba ที่หลบซ่อนอยู่บริเวณนั้นก็ได้ยินเข้าพอดี แล้วก็ต้องตกตะลึงกับสมบัติมากมายก่ายกองที่อยู่ในถ้ำแห่งนั้น
และเพื่อความมั่นใจว่าชื่อนี้มันจะเวิร์คหรือไม่ Jack Ma ณ ขณะนั้นตอนที่เขาไปดูงานที่อเมริกา เขาได้ลองสอบถามผู้คนบริเวณรอบ ๆ นั้น โดยเริ่มจากการถามเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารก่อนว่า คุณรู้จัก Alibaba ไหม เด็กเสิร์ฟก็ตอบกลับมาว่า รู้สิ “Open Sesame”
และไม่ว่า Jack Ma จะถามใครต่อใครก็มักจะมีอยู๋สองคำตอบที่วนเวียนอยู่ในสองคำตอบนี้ก็คือ Open Sesme กับนิทานเรื่อง อาลีบาบากับ 40 จอมโจร ทำให้เขามั่นใจมากว่า มันจะต้องเป็นชื่อที่ดีมากแน่ ๆ แถมเริ่มต้นด้วยตัว A เวลาจัดเรียงลำดับตามตัวอักษรก็ยังอยู่อันดับต้น ๆ อีกด้วย
เรื่องที่ 3 Jack Ma ทำบริษัทเว็บไซต์ แต่ใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นเลย
หากพูดถึงธุรกิจค้าขายออนไลน์ในยุคแรก ๆ นั้น ใคร ๆ ต่างก็ต้องค้าขายกันบนเว็บไซต์ที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการค้าขายซะเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึง Alibaba.com นั้น ก็เป็นเว็บไซต์ค้าขายออนไลน์เต็มรูปแบบที่เหล่าบรรดา SMEs พ่อค้าแม่ค้าค้าส่งต่าง ๆ กันมาซื้อขายกัน
แต่ทว่า Jack Ma ได้ยอมรับว่าตัวของเขาเองนั้นไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ประจำตำแหน่งเลยด้วยซ้ำนั่นก็เพราะ เขาใช้คอมพิวเตอร์แทบไม่เป็นเลย ซึ่งเขาก็มองได้แง่ดีว่า เขาโชคดีจริง ๆ ที่ใช้คอมฯ ไม่เป็น เพราะข้ามไปใช้สมาร์ทโฟนเลย ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเขาใช้คอมฯ เป็นเว็บไซต์ Alibaba ก็อาจจะไม่เติบโตขนาดนี้
เรื่องที่ 4 Jack Ma เป็นพระเอกหนังกังฟูสู้กับ Tony Ja, Donnie Yen และ Jet Li
โดยบุคคลลิกส่วนตัวของ Jack Ma นั้นเป็นคนที่ชอบแสดงออก เขามักทำได้ดีบนเวทีและการพูดต่อหน้าสาธารณะชน ที่ครั้งหนึ่งงานเลี้ยงประจำบริษัทเขาในฐานะ CEO ก็ได้แต่งตัวเป็น Michael Jackson เพื่อแสดงบนเวทีต่อหน้าพนักงานทั้งบริษัท
และหนึ่งในความฝันของ Jack Ma ก็คือ เขาอยากแสดงภาพยนตร์ จนกระทั่งได้ติดต่อพระเอกยอดกังฟูอย่าง Jet Li ที่เป็นนักแสดงชาวจีนที่ดังไกลเป็นถึง Hollywood เพื่อติดต่อให้เขามากำกับและแสดงให้กับหนังที่ Jack Ma แสดงเป็นตัวเอกในเรื่อง Gong Shou Dao
โดยเนื้อเรื่องคร่าว ๆ ก็คือ Jack Ma ที่แสดงเป็นตัวเอกนั้นจะใช้วิชากังฟู Tai Shi และเดินทางเพื่อไปประมือกับเหล่าจอมยุทธ์หลากหลายแขนงศิลปะการต่อสู้ ที่หนึ่งในนั้นก็มีแม้ไม้มวยไทยที่มี Tony Ja หรือจาพนมรับบทเป็นนักสู้มวยไทย จากนั้นก็ปะทะกับ Donnie Yen ปรมาจารย์ยิปมัน รวมไปถึงบอสใหญ่สุดก็เป็น Jet Li อีกด้วย
เรื่องที่ 5 Jack Ma ถูก KFC ปฎิเสธเข้าทำงาน แต่ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของแทน
Jack Ma เคยเข้าสัมภาษณ์งานในร้าน KFC ที่มีผู้เข้ารับการสัมภาษณ์ทั้งหมด 24 คน และได้เข้าทำงานทั้งหมด 23 คน มีเขาเพียงคนเดียวที่ถูกปฏิเสธ
แต่ในปัจจุบันนั้นเขาได้กลายเป็นเจ้าของ KFC ในประเทศจีนไปซะแล้ว โดยมีเรื่องเล่ากันขำ ๆ ว่า ณ วันหนึ่ง Jack Ma อยากกิน KFC จึงวานให้เลขาไปซื้อมาให้ เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที เลขาก็กลับมาพร้อมกับรายงาน Jack Ma ว่าดิฉันได้ซื้อ KFC ในราคา 460 ล้านดอลล่าร์ เรียบร้อยแล้วค่ะ (ราว ๆ 14,000 ล้านบาท)
เรื่องที่ 6 ภาษาอังกฤษเปิดโลกธุรกิจให้กับ Jack Ma
ในช่วงวัยรุ่น แจ็ค หม่า เข้าใจในข้อจำกัดของตัวเองเรื่องทักษะภาษาอังกฤษ ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่ามันจะสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดกับชีวิตเขาได้อย่างแน่นอน ตอนเรียนจบชั้นมัธยมและเตรียมตัวสอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย แจ็ค หม่าพยายามที่จะสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลายสิบครั้งและถูกปฏิเสธมาทุกครั้ง อาจจะด้วยความสารถในการใช้ภาษาอังกฤษยังไม่ดีพอจนกระทั่งเขาตัดใจและบอกตัวเองว่า ‘สักวันหนึ่งฉันจะต้องไปสอนที่นั่นให้ได้’
แจ็ค หม่า จัดการกับข้อจำกัดในเรื่องภาษาอังกฤษของตัวเอง โดยการปั่นจักรยานกว่า 45 นาที เข้าไปในเมืองทุกวันเพื่อเป็นไกด์อาสานำนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเที่ยวไปรอบเมืองด้วยภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ ดำน้ำไปเรื่อย ๆ และในระหว่างนั้นเขาไม่ลืมที่จะพกปากกาเพื่อบันทึกความผิดพลาด และความรู้ใหม่ของตัวเองอยู่เสมอ
แจ็ค หม่า ทำซ้ำ ๆ แบบนี้ทุกวัน จนกระทั่งเกิดเป็นทักษะการพูดคุยภาษาอังกฤษจนเชี่ยวชาญ และมันก็เป็นเส้นทางที่ทำให้เขาเลือกที่จะสอบเข้าสถาบันครูในเมืองหางโจวและเรียนจนกระทั่งจบปริญญาตรีในสาขาเอกวิชาภาษาอังกฤษ ได้เป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษและการค้าระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยหางโจว อยู่ด้วยกัน 5 ปี
จากนั้นเขาก็ได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษา ไปดูงานอเมริกา แล้วก็พบว่าที่นั่นเริ่มใช้อินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย แถมผู้คนยังใช้ซื้อของจากเมืองจีน แต่กลับไม่มีเว็บไซต์ของคนจีนเลยมีแต่เว็บไซต์ของพ่อค้าคนกลาง เขาจึงเกิดไอเดียไปต่อยอดในการสร้างเว็บไซต์ Alibaba.com
เรื่องที่ 7 eBay ต้องยอมถอนทัพในจีนเพราะ Jack Ma
ในปี 2003 Jack Ma รุกหนักด้านอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวเว็บไซต์ที่ชื่อว่า Taobao.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ค้าขายออนไลน์แบบ Business-to-Consumer (B2C) คล้าย ๆ กับ Lazada บ้านเรา ที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าชาวจีนมาขายของออนไลน์ โดยเป้าหมายต้องการที่จะเป็น eBay ในเวอร์ชั่นเอเชีย
และในปี 2004 มีข่าวว่า eBay ได้ยื่นข้อเสนอในการเข้าซื้อกิจการของ Taobao แต่ Jack Ma ได้ปฏิเสธไป จนกระทั่งในปี 2006 eBay ก็ต้องยอมถอยทัพออกจากจีนไป เพราะไม่สามารถต่อกรกับ Taobao ได้นั่นเอง
เรื่องที่ 8 Alipay เคยถูกทุกธนาคารในจีนปฎิเสธร่วมโปรเจคชำระเงินออนไลน์
Alipay แอพสำหรับการชำระเงินออนไลน์ หากใครยังนึกไม่ออกก็คล้าย ๆ กับแอพ True Money Wallet ที่แรกเริ่มนั้น Jack Ma ถูกปฏิเสธจากทุกธนาคารในประเทศจีน ไม่มีใครอยากเข้าร่วมการรับชำระเงินผ่านเว็บไซต์ของอาลีบาบาของเขา เขาจึงต้องคิดหาวิธีการชำระเงินที่ง่ายและสะดวก จึงเกิดโปรเจค Alipay ขึ้นมา ซึ่งในตอนแรกนั้น ใครได้ฟังไอเดียนี้ก็หาว่าเขาบ้า และต้องโง่สุด ๆ แต่ ณ ขณะนี้กลับมีผู้ใช้ Alipay กว่า 1,000 ล้านคน แล้ว
เรื่องที่ 9 พนักงาน Alibaba กว่าแสนคนในวันนี้ เริ่มต้นจากคนเพียง 18 คน
ในปี 1999 Jack Ma จัดการระดมทุนขึ้นมาเองเพื่อก่อตั้ง อาลีบาบา ในห้องเช่าในอพาร์ทเม้นท์ โดยชวนเพื่อน ๆ มาทั้งหมด 17 คน และอธิบายวิสัยทัศน์เกี่ยวกับโปรเจค Alibaba.com ที่เป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ซึ่งเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อนนั้น คำว่าอินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศจีนเลย แถมคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือซะด้วยซ้ำ แน่นอนว่าในห้องนั้น ไม่มีใครเก็ทในสิ่งที่ Jack Ma พูดเลย แถมเขายังพูดออกมาเองอีกว่า “ในห้องนี้ไม่มีใครที่จะเป็นผู้บริหารได้เลย” และเขาก็จะจ้างผู้บริหารจากภายนอก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังสามารถระดมทุนจากเพื่อน ๆ รวม ๆ กันแล้วได้เงินมาประมาณ $60,000 ดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 1.8 ล้านบาท แต่อาลีบาบา ในช่วงแรก มีแต่รายจ่าย และไม่สามารถทำกำไรได้เลยตลอด 3 ปีที่ก่อตั้ง และในปี 2020 Alibaba ก็มีพนักงานกว่า 117,600 คนเลยทีเดียว
เรื่องที่ 10 Jack Ma ใช้เวลากว่า 16 ปี ในการขึ้นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน
หากมองแค่เพียงฉากหน้าความร่ำรวยของ Jack Ma ในวันนี้ ใคร ๆ ต่างก็อิจฉา ราวกับว่าเขาสำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่หารู้ไม่ว่า ตั้งแต่วันที่เริ่มต้นก่อตั้งบริษัท Alibaba ในปี 1999 จนถึงปี 2014 ที่เขาสามารถนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ใน New York Set ได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 15 ปีที่เขาต้องทำงานอย่างหนัก
ซึ่งส่งผลให้ในปี 2016 Jack Ma ได้กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดไม่ใช่เฉพาะในประเทศจีน แต่รวยที่สุดในเอเชียด้วยทรัพย์สินมูลค่า ณ ตอนนั้นที่ $33.3 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1 ล้านล้าบาท และในปี 2020 เขาก็มีทรัพย์สินอยู่ที่ $52 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1.6 ล้านล้านบาท ส่งผลให้เขายังครองตำแหน่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน
Resources