หากกล่าวถึงบุคคลระดับตำนานในวงการตลาดหุ้นที่ยังมีลมหายใจอยู่ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Warren Buffett ที่ทั้งโลกต่างยอมรับว่า เขาคือเจ้าพ่อในตลาดหุ้นที่เน้นลงทุนแบบคุณค่า โดยเริ่มค้าหุ้นตั้งแต่อายุได้ 11 ขวบ ยันในวัย 88 ปี เขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้น
ซึ่งแม้ว่าเบื้องหน้าจะเห็นเขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และมองขาดในเรื่องของตลาดหุ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง เพราะเขาก็เคยพลาดมาหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน โดยสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเขาก็คือ “เขาจะลงทุนเฉพาะธุรกิจที่มีความรู้ความเข้าใจมันเป็นอย่างดีเท่านั้น” แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีความรู้นั้น เป็นความเสี่ยงอย่างมหาศาล แต่นั่นก็ทำให้เขา พลาดการลงทุนดี ๆ ในบริษัทดี ๆ มาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเช่น Google, Amazon หรือแม้กระทั่งบริษัท Microsoft ที่มีเพื่อนซี้ Bill Gates เป็นเจ้าของก็ตาม
โดย Warren Buffett ยอมรับว่า เขาไม่ถนัดบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเลย เขาก็เลยตัดสินใจไม่ได้ลงทุนในบริษัทเหล่านั้น แม้ว่าผู้ก่อตั้งจะมาหาถึงที่เลยก็ตาม
วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ (Warren Edward Buffet) เกิดเมื่อ 30 สิงหาคม ปี 1930 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมือง Omaha รัฐ Nebraska โดยเขาเป็นลูกคนที่สองของครอบครัว โดยมีพี่สาวคือ Doris Buffett และน้องสาวอีกหนึ่งคนคือ Roberta Buffett Elliott ซึ่งในขณะนั้นเขาเกิดมาในครอบครัวที่เรียกได้ว่าอยู่ในชนชั้นกลาง โดยพ่อของเขาคือ Harward Buffett เป็น Broker ในตลาดหุ้น และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของพรรคริพับลิกัน และแม่ของเขาคือ Leila Buffett เป็นแม่บ้าน
ชีวิตในวัยเด็กของวอร์เรนมักมีเรื่องราวของตัวเลขอยู่ในชีวิตประจำวันแทบจะตลอดเวลา ด้วยความที่เขาเป็นคนที่ชอบเรียนรู้โดยเฉพาะเรื่องการการค้าขายและการเก็บเงิน โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 5 ขวบ วอร์เรนก็เริ่มต้นจากการเป็นเด็กเดินขายหมากฝรั่ง, น้ำมะนาว โดยเขาเลือกที่จะขายที่หน้าบ้านของเพื่อนเนื่องจากมีคนพุกพล่านมากกว่าบริเวณหน้าบ้านของเขา เรียกได้ว่า มีหัวการค้าเรื่องการเลือกทำเลมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยทีเดียว
และเมื่อตอนเขาอายุ 6 ขวบก็เริ่มขายน้ำโค้ก ซึ่งเขาได้ซื้อในราคาส่งมาจากร้านขายของชำของคุณตาแล้วมาเร่ขายในราคาปลีก โดยได้กำไรขวดละ 5 cent นอกจากนั้น เขายังได้ขายลูกกอล์ฟมือสอง โดยศึกษาว่าลูกกอล์ฟแต่ละแบรนด์นั้นมีมูลค่าไม่เท่ากัน เขาจึงแบ่งขายตามมูลค่าของแบรนด์ เป็นอีกครั้งที่เขาแสดงให้เห็นว่าคุณค่าของสินค้าขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแบรนด์อีกด้วย รวมไปถึงเวลาที่มหาวิทยาลัย University of Omaha มีการแข่งขันฟุตบอล เขาก็จะนำถั่วและป๊อปคอนไปขายในสนามกีฬาอีกด้วย
ในช่วงวัย 7 ขวบ เขาได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ชื่อว่า “One Thousand Ways to Make $1000” ที่ยกตัวอย่างวิธีการทำเงินกว่าพันวิธี ทำให้เขาได้รับมุมมองการทำรายได้ด้วยวิธีการใหม่ ๆ
จนเขาอายุได้ 11 ขวบ ก็มีเงินเก็บเป็นจำนวน 120 ดอลล่าร์ฯ และเริ่มต้นเข้าสู่วงการการค้าหุ้นเป็นครั้งแรก ด้วยการร่วมลงทุนกับพี่สาวของเขา เพื่อซื้อหุ้น Cities Service โดยเขาสามารถซื้อได้ทั้งหมด 3 หุ้น ในราคา 38.25 ดอลล่าร์ฯ และหลังจากที่เขาซื้อได้ไม่นาน หุ้นก็ตกไปอยู่ที่ 27 ดอลล่าร์ฯ จนกระทั่งราคาหุ้นดีดขึ้นไปที่ 40 ดอลล่าร์ฯ เขาจึงตัดสินใจเทขายหุ้นทั้งหมดไป และหลังจากที่เขาขายหุ้นทั้งหมดไป ก็ปรากฏว่าในเวลาต่อมาไม่นาน หุ้นก็พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 202 ดอลล่าร์ฯ ต่อหุ้น ซึ่งทำให้ Warren Buffet ตกผลึกและเรียนรู้จากการซื้อหุ้นในครั้งนี้ว่า อย่าเห็นแก่กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะถ้าหากเขาถือหุ้นไว้นานมากกว่านี้สักหน่อยเขาก็จะได้กำไรกว่า 492 ดอลลาร์ฯ แทนที่จะเป็น 5 ดอลลาร์ฯ และนอกจากนั้นถ้าหากเขาไม่มั่นใจว่าจะลงทุนแล้วมีกำไรเขาจะไม่ใช้เงินคนอื่นโดยเด็ดขาด
ตอนอายุ 12 ขวบเข้าได้เริ่มธุรกิจใหม่ที่ชื่อ Stable-Boy Selections กับเพื่อนของเขาโดยเป็นธุรกิจแนะนำเทคนิคและทิปต่าง ๆ สำหรับสนามแข่งม้าแต่ก็ต้องปิดกิจการอย่างรวดเร็วเพราะว่าพวกเขาไม่มีใบอนุญาตนั่นเอง ดังนั้นในช่วงนี้เขาจึงหันไปช่วยคุณปู่ของเขาขายของชำที่ร้าน Buffet & Son ทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์
ตอนอายุ 13 ขวบ เขาก็เริ่มหาเงินด้วยวิธีการส่งหนังสือพิมพ์ของ Washington Post โดยเขาได้ศึกษาเส้นทางการส่งหนังสือพิมพ์จากคู่แข่งโดยตรงอย่าง Times-Herald และใช้เส้นทางเดียวกันกับคู่แข่ง และเขาก็พ่วงการขายนิตยสารเพิ่มเติมกับลูกค้าที่รับหนังสือพิมพ์อีกด้วย ทำให้ในช่วงปีนี้ เขามีรายได้เฉลี่ยสัปดาห์ละ 175 ดอลล่าร์ฯ ซึ่งมีรายได้มากกว่าคุณครูประจำชั้นของเขาเสียอีก
ตอนอายุได้ 14 ขวบ เขาก็ตัดสินใจนำเงินเก็บที่ได้จากการขายหนังสือพิมพ์จำนวน 1,200 เหรียญฯ โดยร่วมลงทุนกับพ่อของเขา เพื่อซื้อที่ดินขนาด 40 เอเคอร์ ที่ Nebraska farmland และจ้างชาวสวนชาวไร่มาทำการเกษตร และนอกจากนั้น เขาก็ยังได้เริ่มธุรกิจใหม่ ๆ เข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็น การขายสแตมป์สำหรับนักสะสม, บริการล้างรถ(เปิดได้เพียงแป๊บเดียวก็ปิดตัวลง) และเป็นแคดดี้บริการแบกถุงกอล์ฟ
ในช่วงปีนี้นี่เอง เขาได้เริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่ทำรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำก็คือ ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ โดยเขาให้ติดต่อขอซื้อตู้เกมพินบอลแบบหยอดเหรียญมือสองมาในราคา 25 ดอลล่าร์ แล้วติดต่อร้านตัดผมในละแวกนั้น เพื่อขอพื้นที่วางตู้พินบอล โดยมีข้อตกลงว่าจะแบ่งกำไร 50/50 ให้กับร้านตัดผม และก่อนที่เขาจะเรียนจบระดับชั้นมัธยม เขาก็ได้ขายกิจการไปในราคา 1,200 ดอลล่าร์ฯ
และในระหว่างที่เขาว่างจากการเรียนและงานพิเศษ เขามักจะแว่บไปที่สนามม้าเพื่อเดิมพัน และแทนที่เขาจะใช้สถิติจากการแข่งขันที่ผ่าน ๆ มา แต่หลายต่อหลายครั้งเขากลับใช้อารมณ์ความชอบส่วนตัวในการแทงม้า ทำให้เขาสูญเสียเงินไปเฉลี่ยวันละ 175 ดอลล่าร์ฯ ซึ่งมากกว่ากำไรทั้งสัปดาห์ที่เขาทำได้จากการส่งหนังสือพิมพ์ซะอีก
ชีวิตในช่วงมัธยมของ Warren Buffett นั้น เขาสามารถทำรายได้กว่า 5,000 ดอลล่าร์ฯ หรือถ้าหากตีเป็นค่าเงินในปัจจุบัน ก็จะมีมูลค่ากว่า 55,000 ดอลล่าร์ หรือราว ๆ 1.7 ล้านบาทเลยทีเดียว
หลังจากจบชั้นมัธยม วอร์เรนก็ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ University of Nebraska ในสาขาบริหารธุรกิจ ก่อนจะมาศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ Columbia Business School ในสาขาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้เขามีโอกาสที่เกือบจะได้เรียนที่ Harvard Business School อยู่แล้ว แต่ก็ดันไปสอบตกในรอบสัมภาษณ์
โดยในช่วงของการศึกษาระดับปริญญาโทที่ Columbia Business School นั้นวอร์เรน ก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของปรัชญาในด้านการลงทุน โดยได้มีโอกาสอ่านหนังสือ “The Inteligent Investor” ที่เขียนโดย Benjamin Graham และเขาก็ได้นำเอาปรัชญาการลงทุนของ Benjamin Graham ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขามาประยุกต์เข้าด้วยกันจนเป็นสูตรสำเร็จในการลงทุนของตัวเองจนถึงปัจจุบัน โดย Warren ได้บอกเอาไว้ว่า นี่เป็นหนังสือที่เขียนได้ดีที่สุดเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องของการลงทุนตั้งแต่ที่เขาได้อ่านมาเลยทีเดียว และยกย่องให้ Benjamin Graham เป็นไอดอลที่มีอิทธิพลต่อเขามากเป็นอันดับสองรองจากพ่อ
และเมื่อเขาเรียนจบในช่วงปี 1951 ถึง 1954 วอร์เรนก็ได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็น พนักงานขายด้านการลงทุนที่บริษัท Buffett-Falk & Co. ซึ่งเป็นบริษัทของคุณพ่อของเขา และจากนั้นก็มาในปี 1954 ถึง 1956 เขาก็ได้เข้าทำงานเป็นนักวิเคราะห์หุ้นที่บริษัท Graham-Newman Corp. กับ Benjamin Graham ซึ่งในตอนแรกสุด Warren ถูกปฏิเสธ เนื่องจาก Benjamin ต้องการเว้นตำแหน่งงานให้กับชาวยิวที่ในยุคนั้นยังหางานได้ค่อนข้างยาก แต่ในท้ายที่สุดก็ต้องยอมให้กับความสามารถที่เขามีอยู่ และได้ร่วมงานกันเป็นเวลาประมาณ 2 ปี โดยวอร์เรนได้รับค่าตอบแทนประมาณ $12,000 ต่อเดือน(หรือเทียบเท่ากับ $109,000 ราว ๆ 3.3 ล้านบาท) เป็นช่วงเวลา 5 ปี ที่ Warren ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์แบบเต็ม ๆ
ซึ่งทำให้เขามีเงินเก็บประมาณ $174,000(หรือเทียบเท่ากับ 1.57 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 50 ล้านบาท) และเดินทางกลับมาตั้งรกรากที่บ้านเกิดที่ Omaha แล้วซื้อบ้านหลังหนึ่งเพื่ออยู่อาศัยในราคา $31,500 (ซึ่งในปัจจุบัน ราคาที่ดินแถบนั้น ก็ได้พุ่งขึ้นเป็นอย่างมาก โดยถ้าหากคุณต้องการที่จะเป็นเพื่อนบ้านของเขาแล้วล่ะก็ คุณจะต้องมีเงินอย่างน้อย 2.15 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 70 ล้านบาท ถึงจะพอซื้อที่ทางแถวนั้นได้)
และในปี 1956 เขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทของตนเองโดยใช้ชื่อว่า Buffett Partnership Ltd. ซึ่งมีหุ้นส่วนด้วยกัน 7 คน คือ คุณแม่ของเขา, พี่สาว, คุณน้า, พ่อตา, พี่เขย, เพื่อนร่วมห้องสมัยเรียน และนักกฎหมาย โดยได้รวบรวมเงินทุนเป็นจำนวน $105,100 ซึ่ง Warren ไม่ขอรับเงินเดือนในการจัดการ แต่ขอรับเป็นส่วนแบ่ง จำนวน 25% จากผลกำไรแทน และหากมีการขาดทุน เขาก็พร้อมที่จะรับผิดชอบที่จะออกค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นด้วยตนเองอีกด้วย
จนกระทั่งในปี 1962 Warren Buffett ก็ได้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน เพราะเดือนมกราคม ปี 1962 Buffett Partnership ก็ได้เติบโตและตัวบริษัทมีมูลค่ามากกว่า 7 ล้านเหรียญฯ ซึ่งทำให้หุ้นส่วนที่เขาถืออยู่นั้นมีมูลค่าเกินกว่า 1 ล้านเหรียญฯ ทั้งหมดนี้เกิดจากการเริ่มต้นด้วยเงินทุนเพียง $100,000 นิด ๆ เท่านั้น
และในระหว่างที่ Buffett Partnership ดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี Warren Buffett ก็ได้เริ่มลงทุนโดยการซื้อหุ้นในบริษัท Berkshire Hathaway ที่ ณ ตอนนั้นเขาได้วิเคราะห์แล้วว่าราคาหุ้นค่อนข้างต่ำกว่าตัวเลขที่วิเคราะห์ โดยเป็นการซื้อแบบสะสมหุ้น เพื่อหวังว่าผู้บริหารจะซื้อหุ้นคืนในราคาที่สูงขึ้น แต่แล้วผู้บริหารกลับต้องการซื้อหุ้นคืนในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นั่นทำให้วอร์เรนไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในปี 1970 เขาจึงตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่มจนกลายเป็นประธานและซีอีโอของบริษัทซะเอง แล้วไล่ทีมบริหารชุดเก่าออกทั้งหมด
และ Berkshire Hathaway ภายใต้การดูแลกิจการของวอร์เรน ซึ่งเขาได้ใช้บริษัทนี้ในการเป็นพาหนะไปสู่ความมั่งคั่ง ด้วยการขายธุรกิจสิ่งทอ แล้วเปลี่ยนบริษัทให้กลายเป็น Holding Company โดยนำเงินที่ขายได้ไปเข้าถือหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ The Washington Post, บริษัทประกัน GEICO, Exxon ซึ่งเป็นธุรกิจน้ำมัน และเมื่อปี 1988 ก็ได้ลงทุนในบริษัท Coca-Cola มากจนได้เป็นคณะกรรมการของบริษัท ซึ่งจากแรกสุดที่เขาเริ่มซื้อหุ้น Berkshire Hathaway ที่ราคา 7.60 ดอลล่าร์ฯ ต่อหุ้น จน ณ ปัจจุบันในปี 2018 กลายเป็นบริษัทที่มีราคาหุ้นสูงที่สุดในอเมริกา โดยราคาหุ้นสูงสุดที่ว่านั้นอยู่ที่ $300,000 หรือราว ๆ หุ้นละ 9 ล้านบาทเลยทีเดียว
และในช่วงปี 1990 บริษัท Berkshire Hathaway ก็ได้ขายหุ้นตัวท็อป ๆ บางส่วน จึงส่งผลให้ Warren Buffett กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน โดยเมื่อปี 2008 วอร์เรน ก็ได้กลายเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก และติด Top 5 ของมหาเศรษฐีมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปีด้วยกัน
แต่ก็ใช่ว่า ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยความราบรื่น เพราะส่วนใหญ่ที่เรามองเห็นเบื้องหน้า คือ Warren Buffet นั้น เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากมายมหาศาล แต่ในหลาย ๆ ครั้ง เขาก็มักจะออกมายอมรับว่า มีการลงทุนที่ผิดพลาดอยู่มากมาย และแต่ละครั้งก็ทำให้สูญเสียเงินมากกว่าพันล้าน(ดอลล่าร์)ซะอีก ยกตัวอย่างเช่น
- ในปี 2008 Warren Buffet ได้เขียนจดหมายถึงผู้ถือหุ้นว่า เขาได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท ConocoPhillips ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเชื้อเพลิงระดับโลก โดยเขาเข้าซื้อหุ้นในขณะที่ราคาเชื้อเพลิงเกือบจะถึงจุดสูงสุด โดยใช้เงินซื้อไปประมาณ 7,000 ล้านเหรียญฯ แล้วก็ปรากฏว่าราคาเชื้อเพลิงดิ่งเหวลงมาเกือบครึ่ง ซึ่งมูลค่าหุ้นตกลงมาเหลือเพียง 4,400 ล้านเหรียญฯ ทำให้ขาดทุนไปกว่า 2,600 ล้านเหรียญฯ
- ในปี 2008 เขาใช้เงินจำนวน 244 ล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อซื้อหุ้นธนาคารในไอร์แลนด์ ซึ่งเขาประเมินแล้วว่าเขาเข้าซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมิน แต่พอถึงสิ้นปีก็พบว่า ราคาหุ้นตกลงอย่างมาก และตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้งหมดแล้วได้เงินกลับมาเพียง 27 ล้านดอลล่าร์ ขาดทุนไปกว่า 217 ล้านดอลล่าร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การลงทุนครั้งนี้ขาดทุนไปกว่า 89 เปอร์เซ็นต์
- ในปี 2011 Warren Buffett ได้ตกหลุมพราง ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจให้ David Sokol ซึ่งเป็นผู้บริหาร Berkshire Hathaway ณ ขณะนั้น แอบเชียร์ให้ ซื้อหุ้นของบริษัท Lubrizol Corp. ซึ่ง David Sokol แอบซื้อหุ้นของ Lubrizol ไว้ก่อนหน้านี้แล้วเพื่อเกร็งกำไร ทำให้เขาได้กำไรจากการซื้อขายครั้งนี้เป็นจำนวนเงินประมาณ 3 ล้านเหรียญฯ ทำให้ Berkshire Hathaway ได้รับความเสื่อมเสียในการซื้อขายในครั้งนี้ และไล่ David Sokol ออกจากตำแหน่งผู้บริหาร บทเรียนในครั้งนี้ก็คือ จงตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนที่จะเชื่อใจใคร
- ในปี 2012 Berkshire Hathaway ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นของ Tesco ในราคา 2,300 ล้านเหรียญฯ แล้วขายหุ้นบางส่วนออกไปและสามารทำกำไรได้กว่า 43 ล้านเหรียญฯ แต่พอเข้าสู่ปี 2014 หุ้นของ Tesco ตกลงกว่า 48 เปอร์เซ็นต์ ทำให้สัดส่วนหุ้นที่ Berkshire Hathaway ถือครองอยู่นั้น ต้องขาดทุนไปมากกว่า 444 ล้านเหรียญฯ ดังนั้น บทเรียนในครั้งนี้ก็คือ หากเขาตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดไปก่อนหน้านี้ ก็จะได้กำไรอย่างมหาศาลและไม่ต้องขาดทุนหนักขนาดนี้
- และความผิดพลาดอีกหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่ Warren Buffet ตัดสินใจ “ไม่ซื้อ” ทั้ง ๆ ที่ผู้ก่อตั้งเข้ามาเจรจากับเขาโดยตรงไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Google หรือแม้กระทั่ง Amazon ที่มี Jeff Bezos ที่กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ณ ขณะนี้
แถมในปี 2012 เขาก็ตรวจพบว่า ได้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่โชคยังดีที่เขาได้รับการรักษาและหายขาดจากโรคนี้ได้ในที่สุด
และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ วอร์เรน กลายเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนก็คือการที่เขาได้บริจาคหุ้น บริษัท Berkshire Hathaway ของตัวเองเป็นจำนวน 185 ล้านหุ้น โดยหากตีมูลค่าหุ้น ณ ขณะนั้น ก็เป็นมูลค่าสูงถึง 28.3 พันล้านเหรียญฯ หรือเกือบ ๆ 9 แสนล้านบาท เพื่อเข้าการกุศล Bill and Melinda Gates Foundation ซึ่งมี Bill Gates ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft ซึ่งถือว่าเป็นการบริจาคที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้
นอกจากความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของวอร์เรนในเรื่องการลงทุนแล้ว ในด้านสังคมนั้นเขาก็เป็นที่นับถือและเคารพในกลุ่ม CEO ที่มีชื่อเสียงมากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือ บิลล์ เกต ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ที่ให้ความเคารพวอร์เรนเสมือนพ่อคนหนึ่ง และบิลล์ เกต ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่คอยลับสมองให้กับวอร์เรน เพราะการที่ทั้งสองคนมักจะแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดในด้านการบริหารงานไปจนถึงหนังสือที่อ่าน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ได้ความรู้ในคนละมุมมองด้วย โดยสิ่งสำคัญที่ทำให้วอร์เรนเป็นผู้รอบรู้และบริหารจัดการในแต่ละเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือ เขาใช้เวลากว่า 80% ในแต่ละวันไปกับการอ่านหนังสือและปฏิบัติแบบนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นั่นจึงไม่แปลกเลยว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างมากมายถึงเพียงนี้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้วอร์เรน บัฟเฟต์กลายมาเป็นสุดยอดนักลงทุนนั้นไม่ได้มีเพียงเรื่องของการอ่านนักสือและการคิดวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว แต่มาจากความมุ่งมั่นและตั้งใจในการทำงานเก็บเงินโดยไม่เกี่ยงว่างานที่ทำจะต้องเหนื่อยมากน้อยเพียงใด ซึ่งนั้นเป็นตัวอย่างที่เราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องของการทำงานหรือเรื่องความอดทนต่อความเหน็ดเหนื่อย ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมที่จะแย่งเวลาในการเรียนรู้เติมเต็มสิ่งใหม่ ๆ ที่ช่วยสร้างความรู้และเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับตัวเองกันด้วย
เฉกเช่นเดียวกับชายวัย 87 ปี ผู้นี้ได้ทำตามคำกล่าวของเขาที่ว่า
“The first rule is not to lose. The second rule is not to forget the first rule”
หมายถึง “กฎข้อแรกคือ อย่ายอมแพ้ กฎข้อที่สองคือ อย่าลืมกฎข้อแรก”
– Warren Buffett –
Resources
- http://www.visualcapitalist.com/warren-buffett-series-early-years/
- https://en.wikipedia.org/wiki/Warren_Buffett
- https://www.forbes.com/profile/warren-buffett/
- https://www.facebook.com/pg/buffettcode/photos/?tab=album&album_id=1597554370286822
- https://www.investopedia.com/university/warren-buffett-biography/
- https://pantip.com/topic/30979747
- http://www.businessinsider.com/why-warren-buffet-closed-down-his-first-fund-2016-9