Site icon Blue O'Clock

Bitcoin คืออะไร by Michael Saylor EP.3

bitcoin คืออะไร

ในตอนนี้ทาง Michael Saylor จะมาแชร์ว่า แล้วตัวของเขากับบริษัท Microstrategy นั้น เข้ามาสู่วงการ Bitcoin ได้อย่างไร?

โดย Michael Saylor ได้เริ่มต้นเล่าว่า บริษัท Microstrategy นั้น มีเงินสดในบริษัทอยู่ราว ๆ $500 ล้านดอลล่าร์ฯ โดยฝากเอาไว้ในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ย 0%

Image credit – https://www.businessinsider.com/k-shaped-recovery-definition

โดยจากเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากผลกระทบของการมาของโรคระบาดอย่าง Covid-19 นั้น เขาได้สังเกตเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นรูป K-shape คือการที่ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไม่สมดุลกัน คือกลุ่มคนที่มีรายได้สูงอย่างพวกที่อยู่ในตลาดหุ้น Wall Street ใส่สูทผูกไทนั้น พอเศรษฐกิจฟื้นตัวพวกเขากลับรวยขึ้น 30% เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ แต่ในขณะที่คนระดับรากหญ้าทำงานหาเช้ากินค่ำนั้น พวกเขาต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีก 30% หรือหากเป็นพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปก็จะต้องอัพราคาขายเพิ่มขึ้นอีก 30% เพื่อที่จะให้ตนเองอยู่ในระดับความสะดวกสบายเท่าเดิมก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

ดังนั้น มันทำให้ตัวของ Michael Saylor เองนั้น เขาเห็นว่า พนักงานในบริษัทของเขากว่า 2,000 คน ที่พยายามทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพื่อหาเงินเข้าบริษัทเฉลี่ยปีละ 50 ล้านดอลล่าร์ฯ กำลังสูญเสียมูลค่าที่เกิดจากค่าเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นกับเงินสดทั้งหมดในบริษัท ที่ทำให้ Purchasing Power หรืออำนาจในการจับจ่ายใช้สอยลดลงเฉลี่ยราว ๆ 100 ล้านดอลล่าร์ฯ ต่อปี นั่นเท่ากับว่า มันกำลังเหมือนเรากำลังเดินถอยหลังยังไงยังงั้น เพราะเราหาเงินไม่ทันค่าเงินเฟ้อที่รุนแรง หากเราไม่ยอมทำอะไรสักอย่างกับเงินสดจำนวน 500 ล้านดอลล่าร์ก้อนนี้ของบริษัท

ลองนึกภาพตามว่า หากเราคือเรือลำหนึ่งที่กำลังแล่นเพื่อข้ามน่านน้ำทะเล แต่จู่ ๆ ก็มีลมพัดเข้าใส่หน้าจนทำให้เรือต้องถอยหลัง เพราะต้านทานแรงลมไม่ไหว ซึ่งแรงลมนั้นก็เปรียบเสมือนค่า Inflation หรือค่าเงินเฟ้อทางการเงิน ซึ่งคนที่จะต้านค่าเงินเฟ้อได้นั้น ก็จะต้องหากระแสเงินสดเพิ่มให้ได้เร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าเงินเฟ้อ ซึ่งมีน้อยคนมากที่จะหาเงินเพิ่มให้ได้มากกว่าร้อยละ 20 ต่อปี ดังนั้นหากเรือเล็กไม่สามารถต้านแรงลมได้ สิ่งที่เขาจะทำก็คือ การหาเรือลำใหญ่ที่สามารถต้านแรงลมนั้นไปได้นั่นเอง

ยกตัวอย่างในปัจจุบันที่ราคาหมูนั้นมีการปรับราคาขึ้นอย่างรุนแรง เช่น จาก กิโลกรัมละ 150 บาท ตอนนี้พุ่งขึ้นเป็น 250 บาท/กิโลกรัม นั่นหมายถึง มันมีการปรับราคาสูงขึ้นกว่า 66.67% ดังนั้น หากคุณมีงบซื้อหมูอยู่ที่ 1,000 บาท จากเดิมเคยซื้อได้ถึง 6.67 กิโลกรัม แต่ตอนนี้ซื้อได้แค่ 4 กิโลกรัมเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่มีเงินเท่าเดิม แต่อำนาจในการจับจ่ายใช้สอยนั้นลดลง นี่คือความน่ากลัวของค่าเงินเฟ้อที่นับวันมีแต่จะด้อยค่าลง

ดังนั้น ปัญหาของ Microstrategy ที่มีเงินสดอยู่ในมือจำนวน 500 ล้านดอลล่าร์ฯ นั้นก็คือ การเผชิญกับค่าเงินเฟ้อราว ๆ ร้อยละ 20 ต่อปี นั่นหมายถึงว่า เพียงแค่เขาเก็บเงินสดไว้ในบริษัทเฉย ๆ เงินก้อนนี้จะสูญเสียมูลค่าในตัวมันเองเฉลี่ยราว ๆ 100 ล้านดอลล่าร์ฯ ต่อปี

ดังนั้น สิ่งที่ Michael Saylor คิดได้ตอนนั้นก็คือ เขาจะต้องซื้อ Asset อะไรสักอย่างในทันที ที่มันสามารถเอาชนะค่าเงินเฟ้อได้ โดยเขาก็เคยพิจารณามาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น ทองคำ, หุ้นบริษัท Tech company ต่าง ๆ, พันธบัตร, อสังหาริมทรัพย์ และสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะลงทุนใน bitcoin

โดยเขาได้นำเงินสดจำนวน $250 ล้านดอลล่าร์ ไปซื้อ bitcoin ณ ขณะนั้น ส่วนเงินสดที่เหลือเขาก็ทำการยื่นข้อเสนอขอซื้อหุ้นบริษัท Microstrategy คืนจากผู้ถือหุ้นที่ไม่ชอบไอเดียในซื้อ bitcoin ของเขาในครั้งนี้ และหลังจากที่ซื้อหุ้นบริษัทคืนมาแล้ว เขายังคงเหลือเงินสดอีก $175 ล้านดอลล่าร์ เขาก็เอาไปซื้อ bitcoin เพิ่มขึ้นอีก จึงทำให้ ณ ตอนที่เขาซื้อ bitcoin ไว้นั้น มีมูลค่ารวมอยู่ที่ $425 ล้านดอลล่าร์ฯ และหลังจากที่เขาได้ทำการซื้อ bitcoin ไป ในเวลาไม่นานราคาของ bitcoin ก็ทำ All Time Hight หรือทำราคาสูงสุด ทำให้เขาสามารถทำกำไร ณ จุด ๆ นั้นได้มากกว่าพันล้านดอลล่าร์

ซึ่งสิ่งที่ขึ้นไม่ใช่ราคาของ bitcoin เพียงอย่างเดียว แต่มันส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัท MicroStrategy นั้นมีราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย จึงทำให้เขาตัดสินใจที่จะออกหุ้นกู้ของบริษัท เพื่อเอาเงินกู้ในครั้งนี้ไปซื้อ bitcoin เพิ่มขึ้น ซึ่งการกู้ในครั้งนี้ เขากู้มามากว่าพันล้านดอลล่าร์ โดยที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ถึง 1% นั่นหมายถึงว่า เมื่อคุณสามารถกู้เงินจำนวนมากได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก สิ่งที่คุณควรทำก็คือ นำเงินกู้เหล่านั้น ไปซื้อทรัพย์สินบางอย่างที่มันมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าเรทดอกเบี้ยเงินกู้

ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาจนถึงวันที่เขาให้สัมภาษณ์ ณ ขณะนี้ เขากู้เงินไปแล้วร่วม ๆ $2.2 พันล้านดอล่าร์ฯ โดยที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่แค่เพียง 1.5% ต่อปี ซึ่งเงินดังกล่าวเขาได้นำไปซื้อ bitcoin ทั้งหมด โดยที่ ณ ตอนที่ bitcoin ทำราคาสูงสุดนั้น บริษัทของเขาก็มี bitcoin ที่ตีมูลค่าได้เป็น $7.5 พันล้านดอลล่าร์ฯ โดย สามารถทำกำไรได้ราว ๆ $4 พันล้านดอลล่าร์ฯ แถมหุ้นบริษัท Microstrategy ยังพุ่งจาก หุ้นละ $120 ไปเป็น $850 ต่อหุ้น(แม้ว่าตอนที่ทำเนื้อหานี้ราคาหุ้นจะตกมาอยู่ที่ราว ๆ $500 ต่อหุ้น) ซึ่งเขาสามารถทำกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ราว ๆ $8 พันล้านดอลล่าร์ฯ ภายในเวลาเพียง 12 เดือน จากการลงทุนใน bitcoin

ซึ่งผู้ที่เคยถือหุ้นและขายหุ้นของบริษัท Microstrategy เมื่อตอนราคา $120 ต่อหุ้นนั้น ได้แต่มองตาปริบ ๆ

โดยหลักการคิดของ Michael Saylor ที่ตัดสินใจลงทุนใน Bitcoin ก็คือ เขามีบริษัท Micrcostrategy ที่มีมูลค่าทั้งบริษัทราว ๆ $500 ล้านดอลล่าร์ฯ และสามารถสร้างกระแสเงินได้ราว ๆ $80 – $100 ล้านดอลล่าร์ฯ ต่อปี ซึ่งมีอัตราการเติบโตของบริษัทที่เริ่มจากศูนย์มาเป็น 10% ต่อปี แล้วจากนั้นเขาก็นำเอาบริษัทไปเป็นเสมือนวางเงินดาวน์ในการลงทุนใน bitcoin ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น $7.5 พันล้านดอลล่าร์ฯ โดยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 170% ต่อปี ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่า เขาใช้บริษัท Microstrategy เป็น Vehicle หรือใช้เป็นยานพาหนะในการนำไปลงทุนต่อยอดในทรัพย์สินที่มีอัตราการเติบโตที่สูงอย่างใน bitcoin มันยิ่งทำให้บริษัทของเขาเติบโตเร็วขึ้นอีกหลายสิบเท่าภายในเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 1 ปี

แล้วก็จบกันไปกับมินิซีรี่ย์นี้นะครับ แล้วพบกันใหม่ในซีรี่ย์ต่อ ๆ ไปครับผม


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง

Resources

Exit mobile version