Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

Robert Kiyosaki เตรียมช้อนซื้อ Bitcoin เพิ่ม

Robert Kiyosaki กล่าวว่า Bitcoin จะต้องพังลงอย่างแน่นอน และราคามันน่าจะลงไปที่ $27,000 หรือแถว ๆ นั้น และเขาก็เตรียมพร้อมที่ซื้อมันเพิ่มอย่างแน่นอนด้วยเช่นกัน ทำไมราคายิ่งร่วง แล้วถึงยิ่งซื้อกันล่ะ?

เพราะถ้าโดนสัญชาตญาณทั่วไป เวลาที่อะไรก็ตามราคามันร่วงลงอย่างรุนแรง ราคามันอาจจะไม่ดีดกลับคืนมาอีกเลยถ้าสิ่งนั้นมันไม่มีอนาคตแล้ว ดังนั้นคนส่วนใหญ่พอเห็นราคายิ่งร่วงก็ยิ่งแห่กันพาเทขายหรือที่เรียกว่า panic sell ที่เกิดอาการเทขายตาม ๆ กัน

แต่ในขณะที่ทาง Robert Kiyosaki บอกว่า เขายังคงมองโลกในแง่ดีอยู่ในตัวของ Bitcoin ว่ามันจะสามารถไปต่อได้ แต่มันก็มีความเสี่ยงสูงอยู่ด้วยเช่นกัน

โดยเขาจะมาวิเคราะห์ว่า เพราะเหตุใดถึงเป็นแบบนั้น

โดยเริ่มต้นที่มองที่ภาพใหญ่ของตลาดเงินเสียก่อน หากย้อนเวลากลับไปในช่วงปี 1960 – 1980 เป็นช่วงที่คนรุ่น Baby Boomer ไม่ชอบตลาดหุ้นเอาซะเลย เพราะพวกเขาคิดว่า ใครก็ตาม ณ เวลานั้นที่เขาไปเล่นในตลาดหุ้นคือพวกผีพนัน แต่ในขณะที่ ณ ปัจจุบัน ใคร ๆ ต่างก็อยู่ในตลาดหุ้นกันแทบทั้งนั้น

สำหรับตัวของ Robert Kiyosaki เองนั้น ส่วนตัวเขาไม่ชอบลงทุนในตลาดหุ้น ที่นายหน้าค้าหุ้นมักบอกว่ามันสินทรัพย์ที่น่าลงทุน แต่ในขณะที่ตัวของเขาไม่เชื่อมั่นในสินทรัพย์ดังกล่าว เพราะเขามองว่าตัวของเขาเองในฐานะที่เป็น Entrepreneur หรือผู้ประกอบการนั้น เขาสามารถสร้าง Assets เองได้

เพราะเขามองว่า หากเลือกเดินในเส้นทางแบบปกติทั่ว ๆ ไป คือ เข้าเรียนในโรงเรียนให้จบ แล้วหางานดี ๆ ทำ เพื่อที่จะได้เงินดี ๆ ประหยัดเงิน จ่ายภาษี ปลดหนี้และลงทุน ซึ่งในบทบาทของคนทำงานทั่วไปก็คือ ไม่ได้เน้นที่การสร้างสินทรัพย์ด้วยตนเอง จึงต้องมีทางเลือกในการลงทุนอื่น ๆ อย่างเช่น ลงทุนในตลาดหุ้น แต่ในขณะที่หากเลือกเดินในเส้นทางของผู้ประกอบการแล้วล่ะก็ เราก็สามารถสร้าง Asset เป็นของตนเองได้

และเมื่อในอดีตเนื่องจากตลาดหุ้นมันไม่เป็นที่นิยม ทำให้ในปี 1978 ก็ได้มีการคิดค้นกองทุนออมเพื่อการเกษียณ 401k ขึ้นมา ทำให้คนเริ่มหันมาสนใจลงทุนกันอย่างล้นหลาม จนทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างมหาศาล และอะไรก็ตามที่มีผู้คนแห่กันมาลงทุนมากจนเกินไป มันก็ก็ต้องพังลง(market crash)

โดยมันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อตลาดหุ้นได้พังทลายลง โดยเช้าวันจันทร์ ในวันที่ 19 ตุลาคม ปี 1987 ที่อยู่ดี ๆ ตลาดหุ้นก็ร่วงหนักภายในวันเดียวกว่า 22.6% (ซึ่งปกติลงแค่ 1%-2% ก็ว่าแย่แล้ว) ซึ่งถือว่าเป็นการร่วงลงมากที่สุดในประวัติศาสตร์หุ้นเลยก็ว่าได้ ผู้คนจึงเรียกเหตุการในวันนี้ว่า Black Monday หรือ วันจันทร์ทมิฬ

ทำให้ในปี 1988 จึงได้จัดตั้งหน่วยงานของทางรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่มี Alan Greenspan เป็นคนที่คอยให้คำแนะนำกับประธานาธิบดีและบางครั้งก็มีการแทรกแซงนโยบายทางการเงิน เพื่อให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยจะมีชื่อเรียกทีมนี้ว่า Plunge Protection Team (PPT) ที่เรียกได้ว่า ทิศทางการเงินของโลกจะเป็นไปอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนเพียงน้อยนิดนี้ในการชี้ช่องทาง

หรือพูดง่าย ๆ ก็คือหน้าที่ของ Greenspan คือ ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นพังลง จะมีทีม PPT นี้เข้ามาปกป้องนักลงทุน ทำให้คนยุค Baby Boomer ก็ไม่ต้องรู้สึกกังวลในการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะทุกครั้งที่ตลาดหุ้นพังลงก็จะมีหน่วยงานจากทางรัฐบาลกลางสหรัฐฯ และทระทรวงการคลังออกมาปกป้องพวกเขา

หรือจะให้พูดอย่างน่าเกลียดแบบตรง ๆ ไปเลยก็คือ บริษัทในตลาดหุ้นที่น่าจะล้มละลายไปแล้ว กลับถูกคนในรัฐบาลอุ้มหรืออุดหนุนหรืออัดฉีดเงินเอาไว้ไม่ให้มันพัง เพราะพวกเขาเชื่อว่าถ้าบางบริษัทมันพังลง มันจะส่งผลให้ตลาดหุ้นพังลงเป็นลูกโซ่แบบโดมิโน ดังนั้นบริษัทกว่าร้อยละ 20 ในตลาดหุ้นนั้นได้กลายเป็น Zombie Company หรือบริษัทที่ไม่มีเติบโตและก็ไม่ตายหรือไม่เจ๊งสักกะที

ในขณะที่ทองคำที่ Robert Kiyosaki ชอบลงทุนมากกว่าหุ้นนั้นก็เป็นเพราะ ทองคำถูกดูแลไม่ให้ตลาดมันพังจาก FED : Federal Reserve System หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่มีธนาคารกลางทั่วโลกที่เป็นเจ้าของร่วมกันอยู่ ทำให้ไม่ว่ายังไงก็ตามธนาคารกลางทั่วโลกพวกเขาจะร่วมกันทำให้มั่นใจว่าตลาดทองคำจะไม่มีวันพังครืนลงและจะมีการทรงตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Robert Kiyosaki เขาชอบลงทุนใน Gold และ Silver ซึ่งเป็น Asset ทางเลือกนอกจากสินทรัพย์พื้นฐานทั่วไปอย่างอสังหาฯ หรือการสร้างธุรกิจ

และแน่นอนว่า Asset ทางเลือกอีกตัวหนึ่งที่มีบทบาทที่สำคัญในยุคนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น Crypto อย่าง Bitcoin

แต่คุณก็คงจะพอเห็นจากที่ผ่าน ๆ มาแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือตลาดทองคำ มันก็พังได้ทั้งนั้น และทุกครั้งที่ตลาดมันพังลงก็จะมีคนมาอุ้มและประคองให้ตลาดนั้นไปต่อได้

และแน่นอนว่า ตลาด crypto ก็หนีไม่พ้นในเรื่องของการพังลง มันต้องพังลงอย่างแน่นอน และคนที่จะทำให้พังลงก็ไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือ FED หรือธนาคารกลางทั่วโลกนั่นเอง เพราะพวกเขาไม่ชอบ crypto เป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเม็ดเงินเทไปตลาด crypto เยอะ พวกเขาก็จะสูญเสียอำนาจในการควบคุมระบบการเงินของโลกใบนี้

ซึ่งถ้าหากถาม Robert Kiyosaki กับคนรุ่นใหม่ ๆ พวกเขาก็ไม่ชอบ FED เช่นเดียวกัน เพราะเนื่องจากกลุ่มคนเพียงแค่ไม่กี่คนแต่กลับมีอิทธิพลในการชี้เป็นชี้ตายในตลาดนั้น ๆ ที่ผู้คนทั่วโลกเล่นกันอยู่ มันดูไม่แฟร์เอาซะเลยกับประชาชนคนทั่วไป

และการที่จะทำให้ตลาด crypto พังลงนั้น ทางธนาคารกลางทั่วโลก กำลังเร่งออกเหรียญดิจิตอลของตนเองอยู่และปล่อยเหรียญของพวกเขาเข้ามาสู่ตลาด crypto เพื่อแย่งชิงเม็ดเงินในตลาดนี้ ซึ่งความแตกต่างระหว่างเหรียญที่อยู่บนเทคโนโลยี blockchain แบบ Decentralized กับเหรียญจาก FED ซึ่งก็อยู่บน blockchain เหมือนกันแต่เป็นระบบ Centralized หมายความว่า เหรียญอย่าง Bitcoin ก็จะไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้เช่นเดิม แต่ในขณะที่เหรียญจาก FED แม้จะแปลงร่างเป็นเหรียญดิจิตอลแล้วก็ตาม แต่มันก็จะยังคงถูกควบคุมโดยธนาคารกลางหรือรัฐบาลทั่วโลกอยู่ดี

และเมื่อตลาด crypto พังลง ราคาของ Bitcoin ก็อาจจะร่วงลงอย่างรุนแรงไปแถว ๆ $27,000(ตีเป็นเงินไทยก็น่าจะราว ๆ 8.5 แสนบาท) ซึ่ง Robert Kiyosaki ก็เตรียมช้อนที่ราคาแถว ๆ นั้นไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาก็ทำเหมือนกับตอนที่ตลาด crypto มันพังครืนก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาก็ช้อนได้ไปในราคาประมาณ $9,000 (ตีเป็นเงินก็ราว ๆ 2.8 แสนบาท)

และเขาก็คาดว่า ราคาของ Bitcoin น่าจะขึ้นไปแตะที่ $1,000,000 ต่อ 1 BTC หรือประมาณ 30 ล้านบาทต่อ 1 Bitcoin ภายใน 5 ปี ซึ่งเขาก็ฟังมาจากเพื่อนของเขาในวงการอีกทีนั่นแหละ ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตามที แต่อย่างน้อยคนที่บอกเขามานั้น ฉลาดกว่าตัวเขาเยอะ และเขาก็ควรจะฟังหูไว้หู ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ All-in หรือทุ่มหมดหน้าตัก แต่ใช้การจัดสรรปันส่วนแบ่ง portfolio ตามความเสี่ยงที่เขาสามารถยอมรับได้

แต่หากในมุมที่ราคามันจะไปถึงระดับนั้นได้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็คาดการณ์กันแบบเข้าใจง่าย ๆ เลยว่า ถ้า marketcap หรือตลาดขนาดของ Bitcoin มันขึ้นไปเท่ากับตลาดของทองคำแล้วล่ะก็ ตอนนี้ขนาดตลาดทองคำโตกว่าตลาดบิตคอยน์อยู่ประมาณ 15 เท่า ดังนั้น ก็เอา 15 ไปคูณกับราคาบิตคอยน์ตอนนี้ก็จะได้ราคาคร่าว ๆ ในอนาคตและแน่นอนว่าหากมันสามารถขึ้นไปเท่าตลาดทองคำได้ มันไม่หยุดอยู่แค่นั้นอย่างแน่นอน

  • มุมมองของคนทั่วไปที่มีต่อ Bitcoin มันก็คือแชร์ลูกโซ่ เงินเสกจากอากาศ จะไปมีค่าอะไร
  • มุมองของ FED หรือธนาคารกลางทั่วโลกมอง Bitcoin ว่าเป็นตัวอันตรายที่จะมาทำลายระบบการเงิน Fiat (ยอมรับว่าแชร์ลูกโซ่ตัวนี้เป็นคู่แข่งอย่างนั้นหรือ?)
  • ส่วนมุมมองของ Bitcoiner ที่เชื่อมั่นใน Bitcoin มองว่ามันคืออนาคตของการเงินโลกของประชาชนอย่างแท้จริง

แล้วคุณล่ะ มอง Bitcoin แบบไหนกัน?


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources