Site icon Blue O'Clock

Elon Musk อาจกลายเป็นมหาเศรษฐีคนแรกของโลกที่มีทรัพย์สินเกิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

Elon Musk - อีลอน มัสก์

จากรายงานสำนักข่าวบนเว็บไซต์ bbc.com เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2020 ที่ผ่านมา ได้รายงานข่าวเอาไว้ว่า Elon Musk ผู้เป็นเจ้าของบริษัท Tesla กลายเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงเจ้าของตำแหน่งอย่าง Toyota ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้ง ๆ ที่บริษัท Tesla Motors นั้น พึ่งผลิตและขายรถยนต์เพียงไม่กี่ปี

โดย ณ วันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2020 หุ้นของ Tesla ตกอยู่ที่หุ้นละ $1,134 นั้นทำให้มูลค่าทางการตลาดของ Tesla ดีดขึ้นไปอยู่ที่ $209.47 พันล้านเหรียญฯ

ซึ่งหาก Tesla สามารถทำได้ตาม milestone หรือได้ผลลัพธ์ตามที่วางเอาไว้ได้ทั้งหมด มูลค่าของ Tesla ก็มีโอกาสที่จะดีดขึ้นไปแตะที่ $650 พันล้านเหรียญฯ ได้

และเมื่อถึงจุดที่ Tesla มีมูลค่าดังกล่าว ตัวของ Elon Musk เองจะได้ถือหุ้น Tesla เป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 30% ของบริษัท ซึ่งนั่นมันก็จะทำให้เขานั้นมีโอกาสที่จะมีทรัพย์สินรวมพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 195 พันล้านเหรียญฯ ได้ ซึ่งมูลนี้จะทำให้ Elon Musk กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกทันที แทนที่เจ้าตำแหน่งอย่าง Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon.com

คำถามก็คือแล้ว Elon Musk จะมีโอกาสกลายเป็นบุคคลคนแรกของโลกที่มีทรัพย์สินเกิน 1 ล้านล้านเหรียญฯ หรือ 1 Trillion Dollar ได้หรือไม่ เราลองไปดูกัน

โดย ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2020 นั้น Elon Musk มีทรัพย์สินอยู่ที่ $46.3 พันล้านเหรียญฯ ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 31 ของโลก ซึ่งถึงแม้ว่าในวันนี้เขาจะยังไม่ติด Top 10 ซะด้วยซ้ำ แต่ด้วยการถือครองหุ้นและการลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ของ Elon Musk นั้น จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เขาไต่อันดับ Forbes Billionaire List สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ขณะ

แต่ก่อนที่ Elon Musk จะกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้นั้น เขาก็ต้องผ่านด่านมหาโหด จากมหาเศรษฐีในรายชื่อ Top 10 Billionaire ไปให้ได้ซะก่อน ไม่ว่าจะเป็น

อันดับที่ 10 – Francoise Bettencourt Meyers & family ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลกที่ได้รับมรดกตกทอดจากครอบครัวของผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอางอย่าง L’Oreal โดยมีทรัพย์สินอยู่ที่ $63.9 พันล้านเหรียญฯ

อันดับที่ 9 – Larry Page หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Google มีทรัพย์สินอยู่ที่ $64.3 พันล้านเหรียญฯ

อันดับที่ 8 – Mukesh Ambani มหาเศรษฐีชาวอินเดีย ผู้ก่อตั้ง Reliance Industries ที่อยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมันและเชื้อเพลิง มีทรัพย์สินอยู่ที่ $64.4 พันล้านเหรียญฯ

อันดับที่ 7 – Larry Ellison ผู้ก่อตั้ง Oracle บริษัทซอร์ฟแวร์ มีทรัพย์สินอยู่ที่ $70 พันล้านเหรียญฯ

อันดับที่ 6 – Warren Buffett เจ้าของบริษัท shareholder อย่าง Berkshire Hathaway ที่เป็นบริษัทที่คอยลงทุนและถือหุ้นบริษัทตัวท็อป ๆ ทั่วโลก มีทรัพย์สินอยู่ที่ $70.8 พันล้านเหรียญฯ

อันดับที่ 5 – Steve Ballmer พนักงานคนที่ 30 ของ Microsoft และรับตำแหน่ง CEO ต่อจาก Bill Gates มีทรัพย์สินอยู่ที่ $71.5 พัน้านเหรียญฯ

อันดับที่ 4 – Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook มีทรัพย์สินอยู่ที่ $85.4 พันล้านเหรียญฯ

อันดับที่ 3 – Bernard Arnault & family เจ้าของแบรนด์ Louis Vuitton มีทรัพย์สินอยู่ที่ $106.8 พันล้านเหรียญฯ

อันดับที่ 2 – Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft มีทรัพย์สินอยู่ที่ $109.9 พันล้านเหรียญฯ

อันดับที่ 1 – Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon.com มีทรัพย์สินอยู่ที่ $166.3 พันล้านเหรียญฯ

ด้วยพื้นฐานแต่เด็กของ Elon Musk นั้นเขาเป็นเด็กเนิร์ดที่ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะนวนิยายวิทยาศาสตร์ และใฝ่ฝันในการท่องอวกาศมาตั้งแต่เด็ก ๆ และการอ่านนั้นก็ส่งผลให้เขาเข้าสู่วงการอวกาศโดยไม่รู้ตัว โดยเริ่มต้นจากที่ตัวเขานั้นสามารถทำเงินจากการเขียนโค้ดเกมเองอย่าง Blaster ที่สามารถขายได้เกมนั้นได้เป็นจำนวนเงินกว่า $500 หรือประมาณ 15,000 บาท ได้ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ

และโตขึ้นมาอีกหน่อยในปี 1995 ตอนที่เขาอายุประมาณ 24 ปี ก็ได้ตัดสินใจเดินในเส้นทางของผู้ประกอบการด้วยการร่วมก่อตั้งบริษัทกับน้องชายแท้ ๆ อย่าง Kimbal Musk บริษัทนั้นก็คือ Zip2 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเมืองต่าง ๆ ที่ทำให้การส่งหนังสือพิมพ์ของสำนักพิมพ์สามารถส่งหนังสือพิมพ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยเซฟเวลาในการค้นหาตำแหน่งในการส่งหนังสือพิมพ์ของหนังสือพิมพ์เจ้าต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย คล้าย ๆ กับสมุดหน้าเหลือง แต่เป็นในเวอร์ชั่นวงการของสำนักพิมพ์

จนกระทั่งใน ปี 1999 บริษัท AltaVista(ซึ่งในปัจจุบันได้ถูก Compaq ซื้อกิจการไป) ซึ่งเป็น Serch Engine ยักษ์ใหญ่ ณ ขณะนั้น ได้ทำการติดต่อและเข้าซื้อกิจการของ Zip2 โดยจ่ายด้วยเงินสดจำนวน 307 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 9,500 ล้านบาท) และอยู่ในรูปของหุ้นอีก 34 ล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 1,000 ล้านบาท) รวม ๆ แล้ว Zip2 สามารถทำเงินได้กว่าหมื่นล้านบาท ซึ่ง Elon Musk มีหุ้นส่วนในบริษัทอยู่ 7 เปอร์เซ็นต์ เขาจึงได้รับส่วนแบ่งประมาณ 22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 680 ล้านบาท

และนั่นคือครั้งแรกที่ Elon Musk กลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน ในวัย 27 ปี

แต่ความฝันของ Elon Musk ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นเศรษฐีเงินล้าน เพราะฝันที่แท้จริงของเขานั้นคือ ต้องการช่วยให้มนุษยชาตินั้นสามารถออกไปตั้งรกรากถิ่นฐานใหม่ยังบนดาวอังคารให้จงได้

และในปี 1999 นี้นี่เองที่เขาได้นำเงินจำนวน $10 ล้านเหรียญฯ ที่ได้จากการขาย Zip2 ไปลงทุนต่อ ในธุรกิจ X.com เพื่อสร้างระบบชำระเงินออนไลน์ด้วยระบบอีเมลล์ และในปี 2000 ก็ได้ควบรวมกิจการเข้ากับบริษัทคู่แข่งอย่าง Confinity ซึ่งขับเคลื่อนโดย Peter Theil และต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น paypal.com

จนกระทั่งในปี 2002 eBay ก็เข้าซื้อกิจการ Paypal ไปในราคา 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 46,500 ล้านบาท) โดย Elon Musk ได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวน 180 ล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 5,500 ล้านบาท)

โดยในครั้งนี้ เขาได้ทุ่มสุดตัวแบบหมดหน้าตัก เพราะเขาได้นำเงินส่วนแบ่งทั้งหมดที่ขาย paypal จำนวนทั้ง 180 ล้านเหรียญฯ นำไปลงทุนในบริษัทใหม่ด้วยกัน 3 บริษัท คือ

และจากการที่เขาลงทุนใน SpaceX มันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะการทดสอบการปล่อยจรวดนามว่า Falcon 1 นั้นล้มเหลวหลายถึง 3 ครั้ง

จนกระทั่งเงินทุนกำลังจะหมดบริษัทเหลือทดสอบการปล่อยจรวดได้เพียงอีกครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่เช่นนั้นแล้วบริษัท SpaceX จะล้มละลายในทันที

จนกระทั่งการทดสอบการปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งที่ 4 ในวันที่ 28 กันยายน ปี 2008 SpaceX ก็ได้สร้างปรากฎการณ์ในอุตสาหกรรมยานอวกาศที่เป็นเจ้าแรกที่สามารถนำจรวดอวกาศกลับมาใช้ซ้ำได้ ซึ่งทำให้ต้นทุนในการขนส่งยานอวกาศถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ โดยใช้ต้นทุนเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ส่งผลให้มีการเซ็นต์สัญญากันระหว่าง SpaceX และ NASA ที่มีดีลสูงถึง 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 5 หมื่นล้านบาท ทำให้มูลค่าของ SpaceX ในปี 2020 มี Market Cap หรือมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ $36 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งช่วงนี้นี่เองก็เป็นช่วงที่เขาก็กำลังทำบริษัท Tesla ไปด้วย

มาดูในด้านของ Tesla กันบ้างที่ทาง Elon Musk ได้เข้าไปลงทุนในปี 2004 ซึ่งทำให้เขากลายเป็น CEO และเป็นกรรมการใหญ่ของบอร์ดบริหาร และถือหุ้นส่วนอยู่ประมาณ 30% จนกระทั่งในปี 2010 เขาก็สามารถผลักดันให้ Tesla เข้าสู่ตลาดหุ้นได้โดยสามารถระดมทุนได้กว่า 225 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 7 พันล้านบาท) ซึ่งก็ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ Elon Musk ลดหลั่นลงไปตามเงินทุนที่เพิ่มเข้ามาใหม่

และจากการที่ Elon Musk ได้ดีล SpaceX กับทาง NASA บวกกับนำ Tesla เข้าตลาดหุ้นได้สำเร็จ ส่งผลให้ในปี 2012 เขา กลายเป็น Billionaire มหาเศรษฐีพันล้านได้ในวัย 40 ปี โดยติดโผของนิตยสาร Forbes ในรายชื่อมหาเศรษฐี Billionaires List ด้วยทรัพย์สินรวมในปีนั้นอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ราคาหุ้นของ Tesla นั้นโตแบบก้าวกระโดด

ต่อมาในเดือนมกราคมปี 2018 Elon Musk ได้รับข้อเสนอจากบอร์ดบริหารว่าถ้าหากเขาสามารถทำผลงานของ Tesla ในช่วง 10 ปีนี้ให้ถึง milestone หรือได้ผลงานตามเป้าที่วางเอาไว้ได้ทั้งหมด มันจะส่งผลให้มูลค่าของบริษัท Tesla ขึ้นไปอยู่แตะอยู่ที่ $650 พันล้านเหรียญฯ เขาจะได้รับสิทธิพิเศษในการซื้อหุ้นของ Tesla เพิ่มเติมได้อีกจำนวนกว่า 20.3 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 11% ซึ่งหลังจากที่นำ Tesla เข้าตลาดหุ้นนั้น Elon Musk ได้ถือหุ้นของ Tesla อยู่เป็นจำนวน 34 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 19% ของบริษัท ซึ่งถ้าได้มาเพิ่มอีก 20.3 ล้านหุ้น จะทำให้เขากลับมามีสัดส่วนในบริษัท Tesla เป็น 30% ซึ่งส่งผลให้เขาอาจมีทรัพย์สินสูงกว่า $195 พันล้านเหรียญ

นั่นก็เท่ากับว่าภายในไม่กี่ปีนี้ Elon Musk ก็น่าจะมีตำแหน่งหายใจรดต้นคอของ Bill Gates ที่อยู่อันดับที่ 2 และที่เหลือก็เป็นรองแค่อันดับที่อย่าง Jeff Bezos คนเดียวเท่านั้น

ซึ่งถ้าลองคิดดูเล่น ๆ แล้วก็จะพบว่า Tesla ที่พึ่งเข้าสู่ตลาดรถยนต์ที่พึ่งเริ่มต้นผลิตและขายอย่างจริงจังเพียงไม่กี่ปี แต่มูลค่าของบริษัท Tesla ก็สามารถแซง Toyota ที่เปิดกิจการมากว่า 83 ปีได้สำเร็จ โดย Tesla พึ่งแตะ milestone หรือทำตามเป้าหมายที่วางไว้แค่เพียง 1 ถึง 2 เป้าที่วางเอาไว้จากทั้งหมด 16 เป้าด้วยกัน ยังขนาดนี้ (นี่หลัก ๆ เฉพาะ Tesla นะ แต่เฮียแกยังมีธุรกิจในมืออีกเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว) แล้วถ้า Elon Musk สามารถทำตามเป้าของทุกธุรกิจที่มีอยู่ในมือในสำเร็จ ก็มีลุ้นมากว่า เขาจะกลายเป็นคนแรกของโลกที่สามารถมีทรัพย์สินถึง 1 Trillion Dollar หรือ 1 ล้านล้านเหรียญฯ ก็เป็นได้

Resources

Exit mobile version