วิธีเดียวที่จะเปลี่ยนจากคนจนเป็นคนรวย by Michael Saylor
Michael Saylor คือเจ้าของบริษัท Microstrategy บริษัทมหาชนด้านซอร์ฟแวร์ที่มี Bitcoin มากที่สุดในโลก โดยในปี 2021 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 8.2 หมื่นล้าน มหาเศรษฐีอันดับที่ 1,362 ของโลก ได้มาแชร์วิธีการสร้างความมั่งคั่ง ที่หาก ณ วันนี้คุณยังไม่รวยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าตัดสินใจแล้วว่าชาตินี้จะไม่เป็นคนจนอีกต่อไปแล้วล่ะก็ เขาบอกเอาไว้ว่า “หากวันนี้คุณจนวิธีเดียวที่คุณจะร่ำรวยมั่งคั่งได้มีอยู่วิธีเดียวนั่นก็คือ การสร้าง ‘Asset’ หรือการสร้างทรัพย์สิน”
ส่วนวิธีการที่จะได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือ Asset นั้นก็มีด้วยกันอยู่หลายวิธี เช่น ให้คุณสร้างบริษัทขึ้นมาเพื่อถือครองสัดส่วนหุ้นของบริษัท
หรือคุณจะใช้วิธีการออมเงิน จากงานประจำ ไม่ก็หางานที่สองที่สามทำเพิ่ม เพื่อให้มีเงินออมมากยิ่งขึ้น จนคุณสามารถไปซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ โดยใช้พลัง Leverage หรือพลังทวี ที่สามารถใช้เงินดาวน์เพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ด้วยการทำสินเชื่อกับธนาคาร และโดยปกติแล้วมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7% ซึ่งโดยทั่วไปแล้วดอกเบี้ยเงินกู้ที่จะต้องผ่อนธนาคารนั้นจะมีอัตราที่ต่ำกว่าอัตราการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ โดยทั่วไปแล้วก็จะอยู่ที่ราว ๆ 3%-4% ต่อปี
ดังนั้น หากคุณไม่ได้ขาดส่งค่าบ้าน วันเวลาผ่านไป ยิ่งหนี้น้อยลง ดอกเบี้ยเงินกู้ก็จะน้อยลง ทำให้เมื่อมาหักลบกลบหนี้บวกกับการเติบโตของอสังหาฯ ในทุก ๆ ปีแล้ว คุณก็จะค่อย ๆ มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนั่นก็เป็นวิธีการที่คนส่วนใหญ่ทำกัน โดยเฉพาะคนฐานะปานกลางทั่วไป ที่ใช้วิธีการนี้ เพราะขอแค่เพียงมีเงินดาวน์บ้านแค่หลักแสนต้น ๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของบ้านหลักล้านได้โดยใช้พลังทวีหรือ Leverage จากเงินของธนาคาร
และหลายคนก็ใช้เทคนิคนี้ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยขายทำกำไร โดยค้นหาอสังหาริมทรัย์ที่มักมีราคาต่ำเพื่อไปขายทำกำไรในราคาที่สูงกว่า และพอขายกำไรจากบ้านหลังแรกได้แล้ว คุณก็เอาไปซื้อบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม เป็นหนี้เยอะกว่าเดิม แต่ก็มีโอกาสขายทำกำไรได้สูงขึ้น หรือคุณจะดึงเงินที่ทำกำไรได้ออกมาเพื่อไปลงทุนในตลาดหุ้นหรือลงทุนในธุรกิจที่มีอนาคต ถือครองแล้วรอให้มันเติบโต แล้วคุณก็จะมี Asset มีความมั่งคั่งไว้ในครอบครองเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งจุดประสงค์ของการเพิ่มความมั่งคั่งก็คือ การที่ Balance Sheet หรืองบดุลส่วนบุคคลของคุณนั้น มี Asset ที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งการที่จะเป็นแบบนั้นได้ ใน Balance Sheet ของคุณก็จะต้องมี High Quality Assets หรือสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง แปลง่าย ๆ ก็คือ เป็น Asset ที่เป็นที่ต้องการของเหล่าบรรดามหาเศรษฐีที่พวกเขาต้องการซื้อในช่วง 10 ปีต่อจากนี้ ยกตัวอย่างเช่น ที่ดินในเมือง ทำเลดี ๆ ติดถนนใหญ่ ย่อมเป็นที่ต้องการมากกว่าที่ดินห่างไกลในชนบทที่อยู่ในซอยลึก ๆ เพราะต่อให้พื้นที่ห่างไกลมันมีราคาถูกกว่า คุณอาจจะได้พื้นที่หลายสิบไร่ แต่ที่ดินแห่งนั้น มันมีตัวเลือกเยอะ หาที่ไหนก็ได้ แถมยังไม่มีวี่แววความเจริญเข้าถึงอีกนานแสนนาน นั่นมันจะทำให้เงินคุณจมไปกับที่ดินชนบทแห่งนั้น
ดังนั้น Asset ที่ดีจะต้องมีความหายาก เป็นที่ต้องการของตลาด หาสิ่งที่ทดแทนได้ยาก สิ่งนั้นจะมีมูลค่าที่สูงเพิ่มมากขึ้น
และจะดีไปกว่านั้นก็คือ Asset นั้นจะต้องไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่คุณถูกบังคับให้ขายโดยที่ไม่ได้ต้องการ เช่น สมมติว่าคุณลงทุนในตลาด crypto เอาเป็นว่า ลงทุนในเหรียญหมาอย่าง Dogecoin แล้วก็เล่นแบบมาร์จิ้น ใช้ Lerverage สูง ๆ คือการยืมเงินทุนในกระดานเทรดได้มากกว่าจำนวนเงินในกระเป๋าของเราเองได้เป็นสิบเท่า ร้อยเท่า และคนส่วนใหญ่ก็มักจะขาดทุนในเวลาที่ตลาดไม่เป็นใจ เช่น คาดเอาไว้ว่าตลาดน่าจะเป็นขาขึ้น แต่ตลาดกลับดิ่งลงอย่างรุนแรง ทำให้ต้องสูญเงินในพอร์ทไปทั้งหมด ภาษาในวงการมักจะเรียกว่า ‘ล้างพอร์ท’ ซึ่งมันเกิดก่อนที่จะขายเพื่อกำไรซะอีก กลายเป็นขาขึ้นไปก่ายบนหน้าผากแทน ดังนั้นหาก Asset ใดที่นำพาไปสู่สถานการณ์ที่คุณต้องถูกบังคับให้ขายทิ้ง มันเป็น Asset ที่ไม่ดีเอาซะเลย
โดย Michael Saylor ได้ยกตัวอย่างจาก Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่เขาร่ำรวยได้นั้น เกิดจากการที่เขาไม่ได้ขาย Asset เพราะเขาร่ำรวยจากการถือครองหุ้นของ Facebook เขารวยเพราะเขาถือหุ้นบริษัท เขาไม่ได้รวยเพราะเขาขายหุ้น Facebook
ซึ่งหลายต่อหลายคนคิดว่า ถ้าเอาเงินไปลงทุนใน Asset หมดแล้วจะเอาเงินที่ไหนกินข้าว ดื่มกาแฟ ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่ง Michael Saylor บอกว่า ถ้าหาก Mark Zucerkerberg ต้องการใช้เงินสด เขาแค่ยกหูโทรศัพท์แล้วโทรไปที่ธนาคารสักเจ้าหนึ่ง แล้วบอกกับนายธนาคารว่า ณ ตอนนี้เขาถือครองหุ้น facebook ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์ฯ แต่เขาไม่อยากขายหุ้น เขาจะขอเอาหุ้น facebook ไปค้ำเพื่อขอกู้เงินสดออกมาใช้สัก 100 ล้านดอลล่าร์ฯ จะได้ไหม? แน่นอนว่านายธนาคารตอบว่า ‘ได้สิ’ แถมยังได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำเพียง 1% ต่อปี ซึ่งเขาสามารถใช้เงินกู้ก้อนนี้ไปได้อีกเป็นสิบปี โดยที่ทางบัญชีถือว่าเป็นเงินกู้ ไม่ใช่รายได้ เขาจึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และเนื่องจากเขาไม่ได้ขายหุ้น เขาจึงไม่ต้องเสียภาษีจากการขายหุ้นอีกด้วย
คำถามที่สำคัญก็คือ เมื่อวันเวลาผ่านไป 10 ปี หุ้นของ Facebook จะขึ้นหรือจะลง
ซึ่งนั่นคุณจะต้องมี mindset ในการลงทุนในระยะยาว มีความอดทนรอคอยได้มากพอ และใช้จ่ายอย่างประหยัด และที่สำคัญในวันที่คุณยังทำงานไหว ทำทุกอย่างเพื่อสร้าง portfolio ให้มี Asset ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ Asset นั้นคุณจะต้องมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมันในระยะยาว และมันจะต้องเป็น High Quality Assets ที่ศักยภาพในการเติบโต เพราะไม่เช่นนั้นแล้วหากเป็น Asset ที่แย่ คุณอาจหมดตัวได้
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub
อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance
*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง
Resources
- https://youtu.be/bl1hwu1saig
- https://www.forbes.com/profile/michael-saylor/
- https://youtu.be/VJAN573lY_M